ดาวิกา
Global
คำขอบคุณ: 12060
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 3972
สมาชิก ID: 1468
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 51 : Exp 30%
HP: 81.8%
|
|
« เมื่อ: มิถุนายน 27, 2014, 05:53:18 pm » |
|
สุเมธดาบสนอนคว่ำหน้าทอดตนเป็นสะพานเพื่อให้พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินผ่านโคลนตม | สุเมธดาบส ในอดีตชาติของพระสมณะโคตมะ (เจ้าชายสิทธัตถะ) ก่อนที่จะมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่ในอดีตชาติ เรียกว่า “พระโพธิสัตว์” (แปลว่า ท่านผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) ซึ่งอดีตชาติของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมาย
ใน อดีตชาติหนึ่งพระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็น “สุเมธดาบส” และได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง มีพระนามว่า “พระพุทธทีปังกร” (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔) ดังนั้น สุเมธดาบสจึงตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์ท่าน
| มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จผ่านทางที่เป็นเลนตม หลุมบ่อ สุเมธดาบสก็ได้ทอดตัวลงนอน ถวายหลังให้เป็นทางเสด็จ เมื่อพระพุทธเจ้าทีปังกรเสด็จถึง สุเมธดาบสก็ได้รับการตรัสพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกรว่า “ดาบสนี้ทำอภินิหารปรารถนา เพื่อเป็นพระพุทธะ ความปรารถนาของดาบสนี้จักสำเร็จในอนาคตเบื้องหน้าโน้น”ซึ่งเมื่อสุเมธดาบส ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ก็ได้ชื่อว่าเป็น “โพธิสัตว์” นับแต่นั้นมา
ในพระคัมภีร์ทางพระ พุทธศาสนาได้อธิบายไว้ว่า ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะสำเร็จเพราะผู้ตั้งความปรารถนาประกอบด้วย “ธรรมสโมธาน ๘ ประการ” ได้แก่ ๑. เป็นมนุษย์ ๒. เป็นบุรุษเพศสมบูรณ์ (สตรี หรือกระเทยเป็นไม่ได้) ๓. มีเหตุสมบูรณ์ คือ มีนิสัยบารมี พร้อมทั้งการปฏิบัติประมวลกัน เป็นเหตุที่จะให้บรรลุพระอรหันต์ในอัตภาพนั้นได้แล้ว แต่เพราะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า จึงยังไม่สำเร็จก่อน ๔. ได้เห็นพระศาสดา คือ ได้เกิดทัน ตลอดจนได้เข้าเฝ้า และได้ทำความดีถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ๕. บรรพชา คือ ถือบวชเป็นนักบวช เช่น ฤษี ดาบส (ต้องเป็นบรรพชิต ไม่ใช่เป็นคฤหัสถ์ ) ๖. ถึงพร้อมด้วยคุณ คือ ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หมายถึง การได้สมาธิจิตอย่างสูง จนจิตบังเกิด ความรู้ ความเห็น อย่างมีตา มีหู รับรู้เห็นเกินมนุษย์สามัญ ที่เรียกว่า ตาทิพย์ หูทิพย์ ๗. ถึงพร้อมด้วยอธิการ คือ การกระทำอันดียิ่ง จนถึงอาจบริจาคชีวิตของตนเพื่อพระพุทธเจ้าได้ ๘. มีฉันทะ คือ มีความพอใจในการเป็นพระพุทธเจ้าอย่างแรงกล้า มีอุตสาหะ พยายามยิ่งใหญ่ จนเปรียบเหมือนว่ายอมแบกโลกทั้งโลก เพื่อนำไปสู่แดนเกษมได้ หรือเปรียบเหมือนว่ายอมเหยียบย่ำโลกทั้งโลกที่เต็มไปด้วยขวากหนาม หอกดาบ และถ่านเพลิงไปได้
นับ ตั้งแต่ได้รับพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ก็ได้บำเพ็ญ “พุทธการธรรม ๑๐ ประการ” ซึ่งพุทธการธรรม ๑๐ ประการนี้เรียกว่า “บารมี” แปลว่า “อย่างยิ่ง” (หมายถึงว่า เต็มบริบูรณ์ บำเพ็ญจนเต็มบริบูรณ์ เมื่อใดก็สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น) โดยบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลา ๔ อสงไขย แสนกัปป์ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๘ พระนามว่า “พระโคดม หรือโคตมะ” ซึ่งการบำเพ็ญพุทธการธรรม ๑๐ ประการ ได้แก่
๑. บำเพ็ญทาน สละบริจาคสิ่งทั้งปวงจนถึงร่างกาย และชีวิตให้ได้หมดสิ้น เหมือนอย่างเทภาชนะใส่น้ำคว่ำจนหมดน้ำ ๒. บำเพ็ญศีล รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต เหมือนอย่างเนื้อทรายรักษาขนยิ่งกว่าชีวิต ๓. บำเพ็ญเนกขัมม์ ออกจากกาม จากบ้านเรือน เหมือนอย่างมุ่งออกจากพันธนาการ ๔. บำเพ็ญปัญญา เข้าหาศึกษา ไต่ถามบัณฑิต โดยไม่เว้นว่าจะเป็นบุคคลมีชาติชั้นวรรณะต่ำ ปานกลางหรือสูง เหมือนอย่างภิกษุเที่ยวบิณฑบาตรับไปตามลำดับ ไม่เว้นแม้นที่ตระกูลต่ำ ๕. บำเพ็ญวิริยะ มีความเพียร ไม่ย่อหย่อนทุกอิริยาบท เหมือนอย่างสีหราช มีความเพียรมั่นคงในอิริยาบททั้งปวง ๖. บำเพ็ญขันติ อดทนทั้งในคำยกย่อง ทั้งในการดูหมิ่นแคลน เหมือนอย่างแผ่นดิน ใครทิ้งของสะอาด หรือไม่สะอาดก็รองรับได้ทั้งนั้น ๗. บำเพ็ญสัจจะ รักษาความจริง ไม่พูดเท็จทั้งที่รู้ แม้ฟ้าจะผ่า เพราะเหตุไม่พูดเท็จ ก็ไม่ยอมพูดเท็จ เหมือนอย่างดาวโอสธี ดำเนินไปในวิถีของตน เที่ยงตรงทุกฤดู ๘. บำเพ็ญอธิฐาน ตั้งใจมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว คือเด็ดเดียวแน่นอนในสิ่งที่อธิษฐานใจไว้ เหมือนอย่างภูเขาหิน ไม่หวั่นไหวในเมื่อถูกลมกระทบทุกทิศ ๙. บำเพ็ญเมตตา แผ่มิตรภาพไมตรีจิต ไม่คิดโกรธอาฆาต มีจิตสม่ำเสมอเป็น อันเดียวทั้งในผู้ให้คุณ ทั้งในผู้ไม่ให้คุณหรือให้โทษ เหมือนน้ำแผ่ความเย็นไปให้อย่างเดียวกันแก่คนทั้งชั่วทั้งดี ๑๐. บำเพ็ญอุเบกขา วางจิตมัธยัสถ์เป็นกลาง ทั้งในคราวสุขในคราวทุกข์ เหมือนอย่างแผ่นดิน เมื่อใครทิ้งของสะอาดหรือไม่สะอาดลงไปก็มัธยัสถ์เป็นกลาง
บารมี ที่บำเพ็ญมาโดยลำดับ แบ่งเป็น ๓ ขั้น ขั้นสามัญเรียก ‘บารมี' ขั้นกลางเรียกว่า ‘อุปบารมี' และขั้นสูงสุดเรียกว่า ‘ปรมัตถบารมี' ซึ่งในภพชาติสุดท้ายได้ทรงบังเกิดเป็น “พระเวสสันดร” และได้ทรงสร้างทานบารมีอย่างยอดเยี่ยม ดังนั้น เมื่อสิ้นจากชาตินั้น ก็ได้ไปอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต (สวรรค์กามาวจรชั้นที่สี่) เป็นเทพบุตรมีนามว่า “สันดุสิตเทวราช”
เมื่อใกล้เวลาที่สันดุสิตเทวราชจะจุติมาเกิดบนโลกมนุษย์ ได้เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่เทวดาทั้งปวง (ซึ่งการเกิดโกลาหลนี้มีสาเหตุหลัก ๆ อยู่ ๓ สมัย คือ สมัยเมื่อโลกจะวินาศ สมัยเมื่อพระเจ้าจักรพรรดิจะเกิด และสมัยเมื่อพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้น) ดังนั้น เทวดาต่าง ๆ จึงพร้อมใจมาประชุมกันที่สวรรค์ชั้นดุสิต และทูลอาราธนา “สันดุสิตเทวราช” ว่า “ในกาลบัดนี้ สมควรที่พระองค์จะจุติไปบังเกิดในมนุษย์โลก เพื่อขนสัตว์ในมนุษย์โลก กับเทวโลกข้ามให้พ้นจากห้วงแห่งความเวียนว่ายตายเกิด อันไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่รู้จบสิ้น ให้รู้ความจริงบรรลุถึงทางปฏิบัติซึ่งจะเข้าสู่พระนิพพาน”
ซึ่งก่อนที่สันดุสิตเท วราชจะมาจุตินั้น ได้ทรงพิจารณาดู “ปัญจมหา-วิโลกนะ” คือ กาล ทวีป ประเทศ ตระกูล และพระมารดา กล่าวคือ ทรงพิจารณาถึง
๑. กาลกำหนดแห่งอายุมนุษย์ ถ้า อายุมนุษย์มากเกินแสนปีขึ้นไป หรือต่ำกว่าร้อยปีลงมา ก็ไม่ใช่กาลที่จะลงมาจุติ เพราะเมื่ออายุยืนมากเกินไปก็อาจเห็นไตรลักษณ์ ถ้าอายุสั้นเกินไปก็จะมีกิเลสหนาไม่อาจเห็นธรรมได้ ๒. ทวีป ทรงพิจารณาเห็นว่าชมพูทวีปเป็นทวีปที่เหมาะที่จะลงมาจุติ ๓. ประเทศ ทรงพิจารณาเห็นว่า ‘มัชฌิมประเทศ' คือพื้นที่ส่วนกลางของชมพูทวีป เป็นสถานที่เหมาะที่จะลงมาจุติ ๔ . ตระกูล ทรงพิจารณาเห็นว่าพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งศากยะวงศ์ สมควรเป็นพระบิดาได้ เพราะอยู่ในวรรณะกษัตริย์ ๕. พระมารดา ทรง พิจารณาเห็นว่า พระนางสิริมหามายามีศีล และบารมีธรรม สมควรเป็นพระมารดาได้ และนับจากเวลาที่พระโอรสประสูติเพียงเจ็ดวัน สัตว์อื่นไม่อาจอาศัยคัพโภทร (ครรภ์, ท้อง) บังเกิดได้อีก เพราะพระมารดาได้ทิวงคต
ครั้นพระ โพธิสัตว์ทรงเห็นว่าสถานะทั้งห้านั้นครบบริบูรณ์แล้ว จึงทรงรับปฏิญญาณ แล้วเสด็จไปยังนันทวันอุทยานในดุสิตเทวโลก และจุติลงสู่ปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา พระอรรคมเหสีพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ในวันอาสาฬหปูรณมี เพ็ญเดือน ๘ ฟัง การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ได้ที่นี่
|
|
|
|
ดาวิกา
Global
คำขอบคุณ: 12060
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 3972
สมาชิก ID: 1468
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 51 : Exp 30%
HP: 81.8%
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: มิถุนายน 27, 2014, 06:25:44 pm » |
|
พระนางสิริมหามายาทรงสุบินนิมิต พระยาช้างเผือกชูงวงจับดอกบัวขาวที่เพิ่งแย้มบานกลิ่นจากภูเขาทองด้านทิศตะวันออก ร้องก้องโกญจนาทเดินเข้าไปในวิมาน กระทำประทักษิณาวัตรเวียนพระแท่น ๓ รอบพระนางเสด็จกลับกรุงรามคาม แคว้นโกลิยะ เพื่อประสูติกาล ตามประเพณี แต่ทรงมีประสูติกาล พระราชโอรสเสียก่อน ขณะขณะประทับพักผ่อนอยู่ใต้ร่มสาละ ที่สวนลุมพินีวัอสิตดาบสทราบข่าวการประสูติ จึงออกจากอาศรมเชิงเขา เข้าไปเยี่ยมเยียนเพื่อถวายพระพรยังราชสำนัก
|
|
|
|
ดาวิกา
Global
คำขอบคุณ: 12060
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 3972
สมาชิก ID: 1468
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 51 : Exp 30%
HP: 81.8%
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: มิถุนายน 27, 2014, 08:50:31 pm » |
|
ทรงบรรลุปฐมฌานตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ขณะประทับใต้ร่มหว้าในพิธีแรกนาขวัญเจ้าชายสิทธัตถะทรงถอนลูกศกออกจากหงส์ที่ถูกเจ้าชายเทวทัตยิงตก เกิดข้อพิพาทเรื่องความเป็นเจ้าของหงส์ที่ถูกยิงตกตัวนั้น จึงนำเรื่องไปให้พราหมณ์ผู้ใหญ่ตัดสิน ซึ่งพราหมณ์ได้ตัดสินตามเหตุผลในหลักคุณธรรมว่า "ผู้ใดทำลายชีวิต ก็ไม่ควรจะเป็นเจ้าของชีวิต สิ่งมีชิวิตควรจะถูกได้รับความคุ้มครองจากผู้มีเมตตาปราณี เพราะฉะนั้นเมื่อต้องการให้หงส์ตัวนี้มีชีวิตอยู่ต่อไป ก็ควรยกให้แก่เจ้าชายสิิทธัตถะเป็นเจ้าของ"ทรงศึกษาศิลปศาสตร์ยิงธนูได้เชี่ยวชาญและแม่นยำทรงมีน้ำพระทัยเมตตา ในการแข่งม้าแม้ม้าของพระองค์จะมีฝีเท้าดี ก็ไม่ทรงเฆี่ยนตีบังคับให้ม้าควบตะบึงจนเกินกำลัง เพื่อชัยชนะ
|
|
|
|
ดาวิกา
Global
คำขอบคุณ: 12060
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 3972
สมาชิก ID: 1468
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 51 : Exp 30%
HP: 81.8%
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2014, 02:19:56 pm » |
|
พระราชบิดาทรงอภิเษกสมรส เจ้าชายสิทธัตถะกับพระนางพิมพายโสธรา เสด็จประพาสสวน ทรงเห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิตเสด็จไปเยี่ยมพระนางพิมพา ซึ่งกำลังบรรทมหลับสนิท เป็นนิมิตรอำลาผนวช ทรงตัดพระโมลีถือเพศบรรพชาที่ฝั่งน้ำอโนมานที
|
|
|
|
ดาวิกา
Global
คำขอบคุณ: 12060
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 3972
สมาชิก ID: 1468
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 51 : Exp 30%
HP: 81.8%
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2014, 08:32:44 am » |
|
ทรงศึกษาธรรมลัทธิ ในสำนักอาฬารกาลามดาบส และ อุททกรามบุตรดาบสบำเพ็ญทุกรกิริยา
|
|
|
|
ดาวิกา
Global
คำขอบคุณ: 12060
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 3972
สมาชิก ID: 1468
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 51 : Exp 30%
HP: 81.8%
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: สิงหาคม 05, 2014, 09:55:03 am » |
|
“ปัญจมหาสุบิน” เป็นบุพนิมิตมหามงคล ๕ ประการ ได้แก่๑. ทรงพระสุบินว่า พระองค์เสด็จบรรทมหงายเหนือพื้นปฐพี พระเศียรหนุนภูเขาหิมพานต์ต่างพระเขนย หรือหมอน พระหัตถ์ซ้ายหยั่งลงในมหาสมุทรทางทิศตะวันออก พระหัตถ์ขวาหยั่งลงทางทิศตะวันตก และพระบาททั้งสองหยั่งลงในมหาสมุทรทางทิศใต้๒. ทรงพระสุบินว่า ติณชาติ หรือหญ้าแพรก เส้นหนึ่งงอกออกจากพระนาภี หรือสะดือสูงขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า ๓. ทรงพระสุบินว่า หมู่กิมิชาติ หรือหนอน ทั้งหลาย อันมีสีขาวบ้างดำบ้างเป็นอันมาก ไต่ขึ้นมาแต่พื้นพระบาท ทั้งสองจนเต็มพระชงฆ์ หรือแข้ง และไต่ขึ้นมาถึงพระชานุมณฑล คือถึงหัวเข่า ๔. ทรงพระสุบินว่า หมู่สกุณชาติ หรือนก ทั้ง ๔ จำพวก มีสีต่าง ๆ กัน คือ สีเหลือง สีขาว สีแดง และสีดำ บินจากทิศทั้ง ๔ ลงมาจับแทบพระบาทแล้วก็กลับกลายเป็นสีขาวไปทั้งสิ้น ๕. ทรงพระสุบินว่า พระองค์เสด็จขึ้นไปเดินจงกรมบนยอดภูเขาอันเต็มไปด้วยอาจม แต่อาจมเหล่านั้น มิได้เปรอะเปื้อนพระยุคลบาท
บรรดาบูรพาจารย์ได้ให้คำอรรถาธิบายเกี่ยวกับปัญจมหาสุบินไว้ว่า เป็นบุพนิมิตมหามงคล ๕ ประการ คือ
๑. พระบรมโพธิสัตว์มหาบุรุษ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศในโลก ทั้ง ๓ อัน ได้แก่ เทวโลก มนุษย์โลก และยมโลก ๒. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ทรงประกาศสัจธรรมเผยแผ่อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ มรรค ผล นิพพาน แก่เหล่าเทพยดาและมนุษย์ทั้งมวล ๓. เหล่าคฤหัสถ์ พราหมณ์และชนทั้งหลายจะเข้ามาสู่สำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันมาก และจะรับพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ๔. ชาวโลกทั้งหลายทุกชั้นทุกวรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร เมื่อมาสู่สำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะได้รู้ธรรมอันบริสุทธิ์หมดจดผ่อนใสโดยเท่าเทียมกัน ๕. แม้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะและปัจจัยทั้ง ๔ ที่ชาวโลกจากทุกทิศ น้อมนำมาถวายด้วยความเลื่อมใส ศรัทธา แต่พระองค์ก็มิได้มีพระทัยข้องอยู่ในลาภสักการะนั้นให้เป็นมลทินแม้แต่น้อย
|
|
|
|
ดาวิกา
Global
คำขอบคุณ: 12060
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 3972
สมาชิก ID: 1468
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 51 : Exp 30%
HP: 81.8%
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: สิงหาคม 05, 2014, 10:18:35 am » |
|
เช้าวันตรัสรู้ นางสุชาดากับทาสี มาถวายข้าวมธุปายาสทรงลาดหญ้าประทับเป็นโพธิบัลลังก์ ตกเย็นพญามารก็กรีฑาพลมาขับไล่ในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หลังจากนั้น ก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗ วัน
หลังจากนั้นจึงเสด็จไปยังต้นอชปาลนิโครธ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นนิโครธคือต้นไทร ส่วนคำหน้าคือ “อชปาล” แปลว่า เป็นที่เลี้ยงแพะ
ระหว่างที่ประทับอยู่ที่โคนต้นไทร ธิดาทั้ง ๓ ของพญามาร นางตัณหา นางราคา และนางอรดี มาประโลมล่อให้หลง ก็ไม่ทรงยินดี
|
|
|
|
|