ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
มีนาคม 28, 2024, 10:33:21 PM

 


  หน้าแรก  • ช่วยเหลือ  • ค้นหา  • เข้าสู่ระบบ  • สมัครสมาชิก



สถานีวิทยุออนไลน์
สายสัมพันธ์





ท่านสามารถขอเพลงฟังได้
ที่กล่องขอเพลงด้านซ้ายมือ
แต่อาจไม่ได้รับฟังทุกเพลง
เนื่องจากจะรองรับเพลงตามขอ
ของสมาชิกภายในก่อน
หน้า: [1]
 
ผู้เขียน หัวข้อ: มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้  (อ่าน 11501 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Sakarin
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 05:24:15 PM »

มิวเซียมสยาม เป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ คือ เป็นพิพิธเพลิน แหล่งศึกษาหาความรู้แนวใหม่ ที่ให้ประสบการณ์แหวกแนว ลืมไปเลยกับรูปแบบเดิมๆ ของพิพิธภัณฑ์ ที่พอทุกคนได้ยินชื่อแล้ว เบือนหน้าหนี

เว็บไซต์อยู่ที่นี่ครับ
http://www.ndmi.or.th/

และจากนี้ไป ผมจะพาทุกท่านเข้าไปชมข้างในกันครับ


สภาพภายในอาคาร ดัดแปลงมาจากกระทรวงพาณิชย์เก่า





บันไดทางเดิน ตกแต่งด้วยโมบาย ตัวกบแดง ห้อยระย้า สวยงาม (กบแดง สัญลักษณ์ของที่นี่)






ส่วนที่ 1 ตึกเก่าเล่าเรื่อง....บริเวณโถงชั้นล่าง มีเรื่องราวจัดดิสเพล์ไว้ให้อ่าน





พระรูป มหาอำมาตย์เอกและนายพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ
องค์ปฐมนายกแห่งสภาเผยแผ่พาณิชย์ และเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์



Discovery Museum
มิวเซียมสยาม เป็นพิพิธภัณฑสถานแนวใหม่ในยุคแห่งการเรียนรู้ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการชมพิพิธภัณฑ์ เน้นกระตุกต่อมคิด จุดประกายความอยากรู้สู่การค้นพบความคิดใหม่ๆ ด้วยตนเองตลอดเวลาอย่างไม่รู้ตัว เพื่อการเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ

พื้นที่เกือบ 3,000 ตารางเมตรในอาคารพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการถาวร “เรียงความประเทศไทย” เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องอันยาวนาน ผู้ชมจะได้ เรียน เล่น รู้ กับปริศนาหลายหมื่นหลายพันปีของสุวรรณภูมิ มูลเหตุสู่ยุคทองของสยามประเทศ และเงื่อนปมก่อนจะมาเป็นประเทศไทยอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อค้นหาคำตอบสำคัญว่า “เราคือใคร” และ “ความเป็นไทยหมายถึงอะไร”

พื้นที่เกือบ 300 ตารางเมตรในอาคารนิทรรศการชั่วคราว จะผลัดเปลี่ยนหัวข้อการเรียนรู้ให้ผู้เข้าชมได้ตื่นตาตื่นใจ สนุกเรียนสนุกรู้ไปกับประเด็นใหม่ๆ ทางประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ ภูมิปัญญา ฯลฯ นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ยังมีพื้นที่ให้บริการเพื่อต่อยอดความรู้และสร้างสรรค์ กิจกรรมมากมาย ตอบสนองกลุ่มผู้เช้าชมที่แตกต่างและหลากหลาย

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษ เพื่อการสนุกคิดสนุกรู้อย่างหลากหลาย ตลอดเดือน ติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์แห่งนี้

http://www.ndmi.or.th/museums/museums_of_siam/ex1.html


, , , ,
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
Sakarin
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 05:26:22 PM »

เพื่อความสมบูรณ์แบบแห่งการรับชมภาพ ขอให้ชมเว็บไซต์ไปด้วย จะได้ซึมซับบรรยากาศ ดื่มด่ำเต็มที่ เพราะไกด์ทัวร์ก็เพิ่งมาครั้งแรก ข้อมูลอาจมีน้อย และพาหลงทางได้ง่าย 55


โซนที่ 2 เบิกโรง....เข้าไปสู่โรงภาพยนตร์ 360 องศา ตื่นตาตื่นใจสุด สุด มองไปทางไหนก็เจอจอหนัง





แหงนหน้าขึ้นเพดาน พระเจ้า เครื่องฉายเรียงรายสลอน อย่างงี้นี่เอง ที่ทำให้เกิดภาพหลายมิติ





โซนที่ 3 ไทยแท้.....มัวแต่ดูหนัง เกรงว่าจะเสียเวลาเดินชม เลยขึ้นมาขั้นสองครับ มาดูนิทรรศการ ไทยมาจากไหนกัน





จำลองบรรยากาศ กรุงเทพฯ สมัยก่อน ไว้อย่างดี มีทั้งหุ่น รูปปั้น ฉากกั้น และดิสเพล์สวยๆ





ไม่น่ายกมาไว้พิพิธภัณฑ์เร็วขนาดนี้ เพราะยังพบเห็นทั่วไปตามริมถนน





สิ่งที่คู่กับเมืองไทย สินค้าไทยประดิษฐ์





โรงหนังสมัยก่อน ที่ปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้ว ในสภาพนี้





คู่ปรับของเทศกิจ
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
Sakarin
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 05:29:41 PM »


โซนที่ 4 .......เปิดตำนานสุวรรณภูมิ




ไม่มีแผนที่กรุงเทพฯ ในแผนที่สุวรรณภูมิ?  
      ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าผู้คนเมื่อหลายพันปีก่อน ไม่เคยมีใครเหยียบแผ่นดินกรุงเทพฯ เพราะเวลานั้นพื้ที่บริเวณนี้ยังอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
เมื่อราว 5,000 ปีก่อน ขอบอ่าวไทยกินพื้นที่ลึกเข้าไปไกลกว่าจุดที่ตั้งกรุงเทพฯ ราว 100 กิโลเมตร ต่อมาตะกอนดินจากแม่น้ำได้ทับถมจนทำให้กรุงเทพฯ
กลายเป็นแผ่นดินเมื่อ 1,000 กว่าปีมานี้เอง  ด้วยเหตุนี้ เมืองสำคัญในเขตสุวรรณภูมิ นอกจากเมืองชายฝั่งทะเลภาคใต้แล้ว ยังมีเมืองที่อยู่ลึกเข้าไปถึงสุพรรณบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี นครปฐม เมืองเหล่านี้ คือเมืองชายฝั่งทะเลในสมัยสุวรรณภูมินั่นเอง





บรรพบุรุษชาวสุวรรณภูมิ เป็นคนพื้นถิ่น หรือมาจากที่อื่น?

    ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามคาใจข้อนี้ แต่เรากำลังเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที  นักโบราณมานุษยวิทยาได้ตั้งข้อสมมติฐานว่า บรรพบุรุษของชาวสุวรรณภูมิ อาจเป็นคนพื้นถิ่นที่มีวิวัฒนาการมาจาก โฮโม อีเรคตัส ซึ่งอาศัยอยู่ที่นี่มาช้านานแล้ว  หรืออาจเป็นกลุ่มชนสายพันธุ์มองโกลอยด์ ที่อพยพมาจากแผ่นดินจีนเมื่อ 3,000 ปีก่อน แล้วเข้าแทนที่ประชากรดั้งเดิม จนเป็นบรรพบุรุษของชาวสุวรรณภูมิในสมัยต่อมา
การค้นหารากเหง้าของชาวสุวรรณภูมิ ยังคงเป็นปริศนาฝากไว้ให้คนรุ่นหลังศึกษาต่อไป





เค้ามีแปรงให้ปัดหน้าจอด้วยครับ ปัดๆ ไปจะค่อยๆ เจอหม้อ ไห ฝังอยู่ในดิน นี่แหละคุณค่าของเทคโนโลยี ที่เด็กๆ ชอบมาเล่น






ไม่ใช่การเดินดู แต่มีโอกาสได้สัมผัส ได้จับเล่น  นี่คือความสนุกที่แท้จริง






สุวรรณภูมิ ชุมนุมสหชาติพันธุ์

นักวิชาการจัดแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ตั้งหลักแหล่งในสุวรรณภูมิช่วง 3,000 ปีก่อน โดยใช้ตระกูลภาษาเป็นตัวกำหนดได้ 5 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มภาษาตระกูลมอญ-เขมร หรือ ออสโตรเอเชียติค พวกที่ใช้ภาษาตระกูลนี้คือ มอญ กูยข่า  ขมุ ละว้า ปะหล่อง ซาไก มลาบรี
2. กลุ่มภาษาตระกูลชวา-มลายู หรือ ออสโตรเนเชียน คือกลุ่มที่อยู่ทางคาบสมุทรมลายู รวมทั้งมอเก็น ในประเทศไทย
3. กลุ่มภาษาตระกูลไทย-ลาว คือ คนไทย ลาว กลุ่มต่างๆ
4. กลุ่มภาษาตระกูลจีน-ธิเบต คือ พวกชาวเขา เช่น กะเหรี่ยง อาข่า
5. กลุ่มภาษาตระกูลม้ง-เย้า คือ กลุ่ม ม้ง เย้า ที่อยู่บนภูเขาสูงทางตอนเหนือสุวรรณภูมิ

   ผู้คนทั้ง 5 กลุ่มภาษานี้ ปะปนอยู่รวมกันในดินแดนที่มีชื่อว่า สยาม ซึ่งในยุคนั้นยังเป็นดินแดนที่ไม่มีอาณาเขตชัดเจน และผู้คนที่อยู่ในดินแดนสยามก็ได้ชื่อว่า ชาวสยาม โดยไม่เจาะจงว่าต้องเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใดโดยเฉพาะ ในเวลาต่อมา “ชาวสยาม” กลุ่มตระกูลไทย-ลาว ซึ่งปะปนอยู่กับชาติพันธุ์ต่างๆ มาไม่น้อยกว่า 3,000 ปี ได้ร่วมกับ “เครือญาติ” ขอม จนมีอำนาจเหนือลุ่มน้ำเจ้าพระยา แล้วสถาปนาอาณาจักรสยามขึ้นในนาม กรุงศรีอยุธยา
    สยามปฏิรูปเมื่อ 100 กว่าปีก่อน มีการรวมศูนย์อำนาจสร้าง “รัฐชาติ” สมัยใหม่ขึ้น “ชาวสยาม” นานาชาติพันธุ์ในขอบเขตแผนที่รูปขวานทอง ก็ถูกนิยามใหม่ด้วยคำว่า “คนไทย”
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
Sakarin
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 05:32:12 PM »


เมืองน้ำอินทร์บุรี ความมหัศจรรย์ของบรรพบุรุษ

เมื่อ 4,000 ปีก่อน ที่บ้านคูเมือง อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีในปัจจุบัน มีชุมชนโบราณที่ชาญฉลาดในการสร้าง “เมืองน้ำ” ด้วยการขุดคลองเป็นเครือข่ายใยแมงมุม เชื่อมโยงพื้นที่ทุกส่วนเพื่อประโยชน์ในการทำเกษตรกรรม และการคมนาคมทั้งภายในและนอกตัวเมือง

เมืองน้ำแห่งนี้ มีพัฒนาการต่อเนื่องอยู่นับพันปี จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติครั้งใหญ่ ระดับน้ำทะเลลดต่ำลงจนเป็นเหตุให้แม่น้ำเปลี่ยนเส้นทาง สุดที่จะแก้ไขได้ เมืองอินทร์บุรีจึงถูกทิ้งร้างไปในที่สุด





แว่นแคว้นต่างๆ ในสมัยก่อน ก่อนที่จะมาเป็นสยาม





ดิสเพล์นี้ แสดงความเชื่อเรื่องผี พราห์ม ลัทธิต่างๆ มีฉายรูปภาพต่างๆ บนฝาผนัง เกิดเงาสามมิติ ตื่นเต้นเร้าใจจริงๆ






เรือสำเภาจำลอง สมัยกรุงศรีอยุธยา





ประวัติศาสตร์ “ไทยรบพม่า”

      สงครามระหว่างสองราชอาณาจักร แท้จริงแล้วคือสงครามระหว่างกษัตริย์ต่อกษัตริย์ ระหว่างกรุงศรีอยุธยา กับ หงสาวดี หรือ อังวะ ไม่ใช่ระหว่าง “ประเทศ” ไทย กับ “ประเทศ” พม่า  ด้วยสำนึกแห่งความเป็น “ชาติ” ยังไม่ได้ก่อเกิดขึ้นในมัยนั้น เห็นได้จากการเดินทัพของทั้งสองฝ่าย ซึ่งได้ส่งกองหน้าไปสักเลก เกณฑ์เสบียงตามรายทาง โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติหรือพรมแดน
   เหตุการณ์ที่สำคัญที่เกิดการรบพุ่งระหว่าง กรุงศรีอยุธยา กับ หงสาวดี หรือ อังวะ กว่า 20 ครั้งนั้น เนื่องมาจากความพยายามกำราบบ้านเล็กเมืองน้อย ซึ่งก่อกวนความมั่นคงของรัฐใหญ่อย่างหงสาวดีหรืออังวะ
   ครั้นเมื่อรัฐเล็กเมืองน้อยอย่าง ล้านนา มอฐ ไทยใหญ่ ถูกรุกราน ก็หันมาเป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา ทำให้กรุงศรีอยุธยาเข้มแข็งขึ้น กษัตริย์แห่งหงสาวดีหรืออังวะ จึงยกทัพมาปราบปรามหัวเมืองต่างๆ แล้วลุกลามมาถึง “พี่ใหญ่” กรุงศรีอยุธยา ดังที่บันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร


นี่คือฉบับภาษาอังกฤษ สำหรับเนื้อเรื่องข้างบน






สาเหตุสงคราม ทำไมต้องรบกัน
   คติความเชื่อเรื่อง “ธรรมราชา” ล้วนเป็นแรงผลักดันให้พระมหากษัตริย์แห่งรัฐหนึ่ง ต้องการแสดงพระองค์เป็น “พระจักรพรรดิราช” เหนือพระเจ้าแผ่นดินอื่น หรือเป็น “เอกราช” คือมีพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียวในแว่นแคว้นเท่าที่จะสามารถแผ่อำนาจไปถึง
   การสงครามยังมีจุดหมายเพื่อครอบครองกำลังคน แหล่งผผลิตสินค้า ทรัพยากร เมืองท่า ชายทะเล หรือเพื่อควบคุมเส้นทางคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ
   การสงครามในยุคก่อนมิได้มุ่งเน้นการขยายดินแดน เพราะการมีอาณาเขตกว้างขวางเกินความจำเป็นย่อมยากแก่การควบคุมดูแลเมืองที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจ มักแข็งเมือง สร้างปัญหาแก่ความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของราชอาณาจักร



นี่คือฉบับภาษาอังกฤษ สำหรับเนื้อเรื่องข้างบน
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 11, 2010, 09:15:57 PM โดย Sakarin » บันทึกการเข้า
Sakarin
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 05:33:44 PM »


ห้องจัดแสดง อาวุธและปืนใหญ่ สมัยกรุงศรีอยุธยา


สงครามใหญ่ อยุธยาพ่าย

   พระเจ้าอลองพญา ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ลองบอง มีชัยชนะเหนือกลุ่มมอญ รวบรวมพม่าเป็นปึกแผ่น และเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่เหนือแผ่นดินทั้งปวงตามแนวคิด “จักรพรรดิราช” จึงคิดเปิดศึกเพื่อยึดกรุงศรีอยุธยา แต่ทำการไม่สำเร็จ
   ครั้นถึงรัชสมัย พระเจ้ามังระ ราชโอรส ก็คิดทำศึกกับกรุงศรีอยุธยาเช่นพระราชบิดา จึงตระเตรียมแผนใช้ทัพใหญ่เข้าตีทั้งเหนือใต้ หวังชัยชนะขั้นเด็ดขาด ทัพพม่าตั้งค่ายใหญ่ 16 ค่าย ล้อมกรุงศรีอยุธยาชักปีกกาถึงกัน ใช้เวลาปิดล้อมและเข้าตีนาน 14 เดือน จนกรุงศรีอยุธยาแตกในวันสงกรานต์ ปีพุทธศักราช 2310





กรุงธนบุรี ปะดาบกู้แผ่นดิน

     ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก พระยาตาก ได้นำกำลังไพร่พลตีฝ่าทัพพม่าไปทางตะวันออก รวบรวมผู้คนเข้าตีเมืองที่แข็งขืน คือ ระยอง จันทบุรี และธนบุรี จนสามารถยึดพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างไว้ได้ แล้วตั้งมั่นอยู่ที่ธนบุรี ก่อนจะเข้าตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น ซึ่งมีสุกี้พระนายกอง เป็นนายทัพ จนกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากอำนาจพม่าสำเร็จ แล้วทรงปราบดาภิเษกเป็น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยสถาปนา กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร เป็นราชธานี
   สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงรวบรวมบ้านเมืองที่แตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าหลังจากเสียกรุง และฟื้นฟูทำนุบำรุงบ้านเมือง  กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร สถาปนาอยู่ได้ 15 ปี ก็สิ้นสุดลง






ใครสร้างกรุงเทพฯ

     เมืองหลวงใหม่ มีทั้งคน “บางกอก” ดั้งเดิม อยู่ปะปนกับหลายเชื้อชาติ ทั้งลาว ญวน จีน แขก ฝรั่ง มอญ และคนจาก “กรุงเก่า” อยุธยาที่เพิ่งมาตั้งหลักแหล่งทำมาหากิน โดยเรียกขานชื่อบ้านนามเมืองของตนเช่นเดียวกับเมื่อครั้งยังอยู่กรุงศรีอยุธยา
     นอกจากนี้ยังมี “คนนอก” จำนวนนับหมื่นที่ถูกเกณฑ์เข้ามาเป็นแรงงานสร้างรพะนครแห่งใหม่ เช่น เขมร 10,000 คน ขุดคลองรอบกรุง ลาวเวียงจันทร์ 5,000 คน สร้างกำแพงรอบเมือง คนเหล่านี้เมื่อเสร็จงานก็ไม่ได้กลับบ้านเมืองของตน กลายเป็น “คนกรุงเทพฯ” ไปในที่สุด






ความเปลี่ยนแปลง

   ความคิดที่จะสร้างกรุงเทพฯ ให้เหมือนกรุงศรีอยุธยา ทำให้บ้านเมืองและผู้คน ต่างยึดติดอยู่กับต้นแบบกรุงศรีอยุธยาที่ผูกพันมานานกว่า 400 ปี จนเมื่อเวลาผ่านไป 4 ทศวรรษ ผลัดแผ่นดิน 2 รัชกาล ความทรงจำแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาก็เริ่มเลือนลบไป “คนกรุงเทพฯ” เริ่มสร้างเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ใหม่ขึ้นมาแทนที่
   เมืองกรุงเทพฯ ไม่ได้เติบโตด้วยจำนวนประชากรในพื้นที่ แต่เกิดจากการอพยพเข้ามาของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างความเจริญมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง
   ส่วนผลพลอยได้จากการทำสงครามกับเพื่อนบ้านคือ “กำลังคน” ชาวลาว มอญ เขมร ญวน ไทยดำ และลาวพวน ถูกกวาดต้อนเข้ามาตั้งชุมชนอย่างถาวรรอบเขตพระนครและหัวเมือง
   ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งพระราชวงศ์จักรี กรุงเทพฯ พัฒนาขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากบ้านเมืองว่างเว้นศึกสงคราม เศรษฐกิจการค้าเติบโตจนกลายเป็นราชธานีที่มั่งคั่งและยิ่งใหญ่ มีการสร้างวัด วัง และบ้านเรือนมากมาย ทำให้พื้นที่ตัวเมืองขยายกว้างออกไป
   ลักษณะตัวตนแบบ “คนกรุงเทพฯ” ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ภาพ “เมื่อครั้งบ้านเมืองยังดี” สมัยกรุงศรีอยุธยา ค่อยๆ เลือนหายไป




การจัดดิสเพลย์ นำเสนอสภาพการทำเกษตรกรรมในยุคเปลี่ยนผ่าน จากกรุงศรอยุธยา มาสู่กรุงเทพฯ เมืองหลวงใหม่





การละเล่นของเด็กไทย





มุมนี้ มีคนสนใจชมมากมาย เพราะมีทุ่งนา รวงข้าว และกระท่อมไม้ไผ่ จัดไว้สวยงามจริงๆ


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
Sakarin
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 05:34:43 PM »



สยามใหม่ ใต้เงาตะวันตก

   สมัยรัชกาลที่ 4 ลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกเริ่มลุกลามมาถึงสยาม อังกฤษได้ครอบครองดินแดนตะวันตกและใต้ของสยาม คือ อินเดีย พม่า มลายู ทั้งยังเป็นฝ่ายชนะในสงครามฝิ่นกับ จีน มหาอำนาจที่สยามเคารพยำเกรงเสมอมา ในช่วงเวลาเดียวกัน ฝ่ายฝรั่งเศสได้ยึดครอง เวียดนามใต้ กับ กัมพูชา และพยายามรุกคืบขยายอิทธิพลต่อไป เมื่อถึงรัชกาลที่ 5 สยามจึงตกอยู่ในห้วงอันตรายอย่างเห็นได้ชัด
    สองมหาอำนาจตะวันตกเริ่มต้นการแข่งขันในภูมิภาคนี้ โดยมุ่งหวังจะเปิดเส้นทางการค้า จากเมืองท่าชายฝั่งทะเลเข้าสู่ “ประตูหลัง” ของจีนเป็นอันดับแรก แต่เมื่อพบว่า “กำลังซื้อ” ในจีนมิได้มีมากอย่างที่คิด ทั้งยังมีอุปสรรคทางภูมิศาสตร์มากมาย จึงหันมาให้ความสนใจต่อดินแดนและทรัพยากรที่ได้พบเห็นระหว่างการสำรวจเส้นทาง
    ข้ออ้างประการหนึ่งของนักล่าอาณานิคมก็คือ น่าเสียดายที่แผ่นดินและทรัพยากรอันมีค่า ต้องตกอยู่ในการครอบครองของกลุ่มชนป่าเถื่อนล้าหลัง ชาติตะวันตกจึงต้องรับภารกิจในการนำแสงสว่างแห่งอารยธรรมมาสู่ชนป่าเถื่อนเหล่านี้ ด้วยการยึดครองแล้วจัดระบบบริหารปกครองเสียใหม่
    เพื่อรับมือกับข้ออ้างและการรุกรานของชาติตะวันตก ถึงเวลาแล้วที่สยามต้องปรับตัวเข้าสู่ “โลกใหม่” และรับรู้ว่า ความยิ่งใหญ่ที่เคยมีในภูมิภาคนี้กำลังสั่นคลอน





บอกลาสายน้ำและความแช่มช้า... สู่โลกใหม่ ในแผ่นดินเดิม

   เมื่อสยามปรับตัวเข้าหา “โลกตะวันตก” ก็เกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ ขึ้นในสังคมอย่างไม่ขาดสาย “ตะวันตก” และ “วิทยาศาสตร์” เริ่มให้คำตอบแก่สังคมสยาม
   หลายสิ่งหลายอย่างถึงจุดอวสาน สงครามกับเพื่อนบ้านหายไปอย่างสิ้นเชิง ชีวิตริมน้ำเริ่มเคลื่อนย้ายขึ้นสู่แผ่นดิน ถนนมีความสำคัญมากกว่าลำน้ำ รถม้าและรถยนต์เริ่มมีบทบาทแทนที่เรือ เรือใบถูกแทนที่ด้วยเรือกลไฟ
   กลุ่มชนชั้นนำในสยามได้ประจักษ์แล้วว่า ฝรั่งรบเก่งกว่าพม่าและจีน, วิทยาศาสตร์ให้คำตอบได้มากกว่าศาสนา, ข่าวสาร หนังสือพิมพ์ช่วยเปิดความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอก
   นี่คือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในประเทศสยาม






สยามศิวิไลซ์

   ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 กระแสนิยมตะวันตก ได้เข้าครอบงำชนชั้นนำของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านการเมืองการปกครอง วิธีคิด วิทยาการความรู้ ไปจนถึงรสนิยมทางศิลปะ สถาปัตยกรรม การแต่งกาย อาหารการกิน มาตรฐานแสดงความสูงส่งต่างๆ ถูกกำหนดด้วยแบบแผนและวัตถุจากโลกตะวันตกทั้งสิ้น
   คำว่า “เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ” ที่เริ่มใช้กันในยุคนั้น บ่งบอกทิศทางแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างแจ่มชัด





ประเทศสยามเริ่มมีการไปรษณีย์





นางสาวสยาม





เพลงชาติสยาม


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
Sakarin
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2010, 05:35:45 PM »

สยามใหญ่แค่ไหน?

   ผู้เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเขตแดนที่แน่ชัดของราชอาณาจักรคือ “ฝรั่ง” ที่เข้ามาในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ปัญหาเรื่อง “เขตแดน” ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของชาวสยาม แม้ทางราชสำนักก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องสำคัญอันใด คำตอบที่ฝรั่งได้รับจึงเป็นเพียงว่า หากต้องการรู้ก็ให้ไปถามชาวบ้านแถวนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเส้นแบ่ง “อาณาเขตประเทศ” ระหว่างอาณานิคมพม่าของอังกฤษ กับประเทศราชเชียงใหม่ของชาวสยาม ถูกกำหนดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยนายพรานจับช้างและหาของป่าที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น







โฉนดประเทศ

    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามและดินแดนใกล้เคียง ต้องเผชิญกับลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ฝรั่งเศส กับ อังกฤษ แข่งขันกันขยายอำนาจไปทั่วโลก และลุกลามเข้าสู่ภูมิภาคนี้
   หลังจากพม่าตอนล่าง กัมพูชา และเวียดนาม ถูกยึดครอง ราชสำนักกรุงเทพฯ ก็เริ่มตั้งหลักเตรียมรับมือ ด้วยการปรับแนวคิดเรื่องกำนาจรัฐและอาณาเขต ให้เท่าทันกับแผนการของชาติตะวันตก
   แผนที่สมัยใหม่ฉบับแรกของ “ประเทศ” สยาม จัดพิมพ์ขึ้นในปีพุทธศักราช 2440 ภายหลังการสำรวจภาคสนาม โดย พระวิภาคภูวดล (James McCarthy) นับเป็นจุดเริ่มต้นของการทำแผนที่ในฐานะ “โฉนดประเทศ” เพื่อยืนยันสิทธิเหนือดินแดนของรัฐบาลสยาม








สู่รัฐชาติและพลเมือง


    การทำแผนที่กำหนดอาณาเขตเพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอสำหรับความเป็นเอกภาพของประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงดำเนินการปฏิรูปการปกครองขนานใหญ่ เพื่อสถาปนาพระราชอำนาจเหนือดินแดนประเทศราชที่ปกครองตนเองมาแต่เดิม โดยรวมศูนย์อำนาจการปกครองไว้ภายใต้ราชสำนักกรุงเทพฯ ในรูปแบบ “รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์” และปวงประชาราษฏรที่อาศัยอยู่ในเขตแผนที่ประเทศ ถือเป็นพลเมืองแห่งราชอาณาจักร
    แผนที่ประเทศสยามจึงเป็นเอกสารแสดงขอบเขตของอำนาจรัฐสยามเหนือดินแดนบ้านเมืองทั้งหมดที่ถูกขีดเส้นรวมไว้ด้วยกัน และเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้าง “ชาติ” ทั้งในทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การศึกษา และการปกครอง จนในที่สุดพื้นที่รูป “ขวานทอง” บนแผนที่ก็กลายมาเป็น “ประเทศไทย” ที่มีความหมายและตัวตนชัดเจน









เสียดินแดน ใครได้ ใครเสีย?

    ในช่วงแรกของการสำรวจดินแดนเพื่อทำแผนที่ รัฐกึ่งอิสระและดินแดนชายขอบต่างๆ ยังเป็นเสมือน “พื้นที่ไม่มีโฉนด” บางครั้งก็อ่อนน้อมยอมรับอำนาจของราชสำนักกรุงเทพฯ บางครั้งก็ยอมรับอำนาจรัฐใหญ่อื่นๆ จึงเกิดความคลุมเครือว่าดินแดนเหล่านี้ “เป็นของใคร” กันแน่ ดังเช่นในกรณีกลุ่มหัวเมือง สิบสองจุไท สิบสองปันนา หรือประเทศราช ลาว และล้านนา
    แม้ราชสำนักกรุงเทพฯ จะยอมรับความคลุมเครือเช่นนี้ แต่จำเป็นต้องอ้างสิทธิครอบครองดินแดนชายขอบที่ “ไม่มีโฉนด” เหล่านั้นไว้ เพื่อต่อกรกับการรุกรานของชาติตะวันตก
    ทั้งนี้ อังกฤษ ฝรั่งเศส และสยาม ต่างอ้างสิทธิทางประวัติศาสตร์ ที่แว่นแคว้นเหล่านี้เคยส่งบรรณาการให้ศูนย์อำนาจฝ่ายตน การอ้างสิทธิเหนือดินแดนจึงทับซ้อนสับสน และในบางกรณีการเจรจาต้องจบลงด้วยการใช้กำลัง

    ยุคแห่งการต่อสู้ช่วงชิงสิทธิเหนือดินแดนต่างๆ ระหว่างราชสำนักกรุงเทพฯ กับมหาอำนาจฝรั่งเศสในอินโดจีน และมหาอำนาจอังกฤษในพม่า จบลงด้วยชัยชนะของชาติตะวันตกในที่สุด
    ในที่สุด ผู้ที่ “เสียดินแดน” จึงไม่ใช่ประเทศสยาม ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ แต่เป็นผู้คนในดินแดนเหล่านั้น ซึ่งถูก “แผนที่” ขีดวงล้อมให้อยู่ในโลกใหม่ ถูก “เส้นอาณาเขตประเทศ” ตัดแบ่งจากชุมชนเชื้อชาติญาติพี่น้อง เพียงแค่อยู่บนแผนที่คนละแผ่นเท่านั้น





จบแล้วครับ ผลงานการนำเสนอ เรื่องราวสาระดีๆ เป็นอย่างไรบ้าง อย่าลืมส่งจดหมายติชมมาได้นะครับ


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
Sakarin
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 08:44:15 AM »

ตั้งใจจะไปเที่ยวหลายครั้งตอนที่เขาจัดงานก็มีคนชวนแต่ไม่ได้ไป ขอบคุณที่นำข้อมูลดีๆพร้อมภาพมาฝากคะ

ถ้ามีโอกาสว่างอีก ควรไปแวะชมครับ มีสิ่งดีๆ เยอะเลยครับ
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 20, 2010, 07:13:10 PM โดย Sakarin » บันทึกการเข้า
nongna
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 1731
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 589
สมาชิก ID: 1301


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 19 : Exp 68%
HP: 0%

สวัสดีค่ะ


« ตอบ #8 เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 06:52:07 PM »

เป็นสาระที่เป็นประโยชน์มาก ขอยกย่องและชมเชยค่ะ หาภาพนี้ได้ ทำให้เพื่อน ๆ ได้รับข้อมูลข่าวสาร ดีมาก   ปลื้มจังที่ได้เป็นสมาชิกกับเวปนี้ค่ะ ขอบคุณมาก


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า

สวัสดีค่ะคุณผู้เยี่ยมชมยินดีที่ได้รู้จักนะคะ
Tanapat
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 07:57:46 PM »

สุดยอดไปเลยคร้าบบบ เคยไปบ่อยมากฮะ

ทั้งเดินผ่าน และ การเข้าชม อิิอิ


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
Sakarin
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 07:15:10 PM »

ขอบพระคุณ คุณ NONGNA และคุณ ธนภัทร มากๆ นะครับ ที่แวะเข้ามาชม มิวเซียมสยามมีสาระความรู้เต็มเปี่ยม เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยครับ
ว่างๆ อย่าลืมไปเที่ยวชม ได้ทั้งความเพลิดเพลินและได้สาระในเวลาเดียวกัน ครับผม
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
 
 
กระโดดไป:  






Saisampan.net
สายสัมพันธ์ - เพลงลูกทุ่งเก่า (เก่ากว่าที่ท่านคิด)
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!