นับตั้งแต่ คำรณ สัมบุณณานนท์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักร้องลูกทุ่งคนแรกเป็นต้นมา บ้านเราก็มีนักร้องลูกทุ่งเพิ่มมาอีกมากมายหลายพันหลายหมื่นคน
ก็มีทั้งพวกที่ ดังมาก ดังปานกลาง ดังน้อย ดังนิด และประเภทไม่ดังเอาเสียเลย มีทั้งประเภทที่ดังยาวนาน ดังยาว ดังสั้น และดังแป็ปเดียว มีทั้งประเภทเสียงดี เสียงปานกลาง เสียงยังงั้นๆ และเสียงห่วยแตก มีทั้งประเภทร้องดี ร้องยังงั้นๆ และร้องแย่
ในจำนวนนั้น ก็มีทั้งประเภทที่มีเพลงฮิตมากมาย มีเพลงฮิตอยู่บ้าง มีเพลงฮิตเพลงเดียว และไม่มีเพลงฮิตเลยแม้แต่เพลงเดียว บางคน( จำนวนมาก) ก็ไม่เคยมีโอกาสบันทึกเสียงเสียด้วยซ้ำ
หนึ่งในหนังหลายเรื่องที่เคยร่วมแสดง เรื่องนี้เป็นพระรอง
ในจำนวนนั้น ก็มีทั้งประเภทอยู่ยั้งยืนยง แม้อาจจะไม่โด่งดังเป็นพลุ แต่ยังทำมาหากินอยู่ในวงการได้นับสิบๆปี กับประเภทที่จากไปเร็วเกินเหตุ ซึ่งก็มีทั้งจากโรคภัยไข้เจ็บ โรคไข้โป้ง และไข้เปรี้ยง (ประเภทรถคว่ำรถชนตาย)
ในจำนวนนั้น ก็มีทั้งที่ หน้าตาดี ประเภทที่ถือว่าหล่อว่าสวย จนถึงประเภทหน้าตาปานกลาง ประเภทไม่หล่อไม่สวยเอาเสียเลย รวมถึงประเภทขี้เหร่ และโคตรขี้เหร่
ในจำนวนนั้น ก็มีทั้งที่ถูกดึงเข้าสู่วงการอื่น เช่นวงการภาพยนตร์ และก็มีประเภทไม่ถูกวงการอื่นเหลียวแลเลย นักร้องที่ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ในจำนวนนั้น ก็มีทั้งประเภทที่ไปโลด ได้แสดงหลายเรื่อง และประเภทไปรอด และประเภทที่ไปไม่รอด ในประเภทที่ไปโลด ก็มีทั้งที่ได้บทเป็นพระเอก นางเอก พระรองนางรอง และประเภทที่ได้รับบทห่วยๆ ประเภทโผล่หน้าเข้าฉากแว่บหนึ่ง ก่อนจะจากหายไปตลอดเรื่อง
รางวัลเกียรติยศจากการสร้างภาพยนตร์
เมื่อแก่ตัวลง นักร้องลูกทุ่ง ก็มีทั้งที่ร่ำรวย มีฐานะปานกลาง รวมทั้งประเภทที่ยากจน และข้นแค้น เมื่อแก่ตัวลง นักร้องลูกทุ่งหลายคนก็หันไปจับธุรกิจอย่างอื่น และหลายคนก็ไปโลด หลายคนก็ไปรุ่ง และหลายคนก็รุ่งริ่ง
ก็เหมือนกับในทุกๆวงการแหละครับ
แต่เชื่อไหมว่า มีนักร้องอยู่คนหนึ่ง (เท่าที่นึกออกตอนนี้ ) ที่อยู่ในระดับแนวหน้าในทุกประเภทที่กล่าวมา
เขา ทั้งหน้าตาดี เสียงดี ร้องดี มีเพลงฮิตมากมาย มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากมายาวนาน เมื่อก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ เขาก็พัฒนาตัวเองไปได้อีกระดับหนึ่ง เพราะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้แสดงภาพยนตร์หลายเรื่อง และหลายเรื่องก็ได้รับบทดีๆ และเขายังพัฒนาไป ไกลกว่าลูกทุ่งคนอื่นๆที่เคยเข้าสู่วงการนี้ นั่นก็คือเขาหันมาสร้างภาพยนตร์เอง และภาพยนตร์ที่เขาสร้าง ก็มีทั้งประเภทที่คว้าทั้งเงินและคว้าทั้งกล่อง
ต่อ มาเขาหันมาทำธุรกิจทำรายการโทรทัศน์ ธุรกิจของเขาก็รุ่งเรือง จากนั้นเขาก็หันมาทำธุรกิจค่ายเพลง และค่ายเพลงของเขาตอนนี้ก็มีนักร้องในสังกัดเกือบ 20 คน และเป็นหนึ่งในค่ายเพลงที่ผมมองว่ามีความเป็นลูกทุ่งแท้ๆมากที่สุดค่ายหนึ่ง ของเมืองไทย
แต่ ความสำเร็จในทุกๆด้านของเขา (ยกเว้นเรื่องหน้าตา) ไม่ได้เป็นแบบสำเร็จรูป ประเภทเติมน้ำร้อนแล้วปิดฝา 3 นาทีก็กินได้ เขาเคยล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย
ปัจจุบันเขาเป็นนายกสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย
นำเพลงของเขามาฝากตามเคย ชื่อเพลง นาวีไทยไปเวียดนาม ชื่ออาจจะเชยไปไม่น้อย แต่เพราะน่าดู (ขอบอก) คิดว่าเพลงนี้น่าจะแต่งโดย พยงค์ มุกดา
เพลงนี้ค่อนข้างแปลกเพราะร้องรอบเดียว ไม่มีวน
นั่นแหนะนกนางนวลครวญหาคู่
คงเหมือนขวัญพธู
แม่อยู่หลังนั่งพรรณนา
คงกินข้าวเคล้าน้ำตา
ตั้งแต่วันพี่นั้นจากลา
ศรีราชาถิ่นรักชาวเรือ
ภาพความหลังยังตรึงแนบซึ้งจิต
ท่าราชวรดิษฐ์ ญาติและมิตรมากมายเหลือเฟือ
มาส่งลูกรักทัพเรือ
พี่ยังกุมมือน้อยนิ่มเนื้อ
เกาะกราบเรือจนเปื้อนลาน
ราชการงานสงครามในเวียดนามใต้
ลูกประดู่ทัพเรือไทย
ชาติส่งไปเพื่อปราบอธรรม
เหรียญกรมหลวงชุมพรฯที่แขวนประจำ
ดอกประดู่บนเรือทุกลำ
จะบานเหนือน้ำไม่รู้โรยรา
นั่นแหนะนกนางนวลครวญหาฝั่ง
นวลนกยังคืนรัง พี่ก็หวังกลับคืนหลังมา
ล้างอธรรมเหมือนสัญญา
จะเอาชัยชนะกลับมา
เช็ดน้ำตาให้เจ้าชื่นใจ
ชาตรี ชินวุฒิ หรือ พนม นพพร
ชาตรี ชินวุฒิ หรือ พนม นพพร มีชื่อเล่นว่า โอ เกิดเมื่อ 27 พ.ค.2489 ที่ ต.หนองตำลึง อ.พานทอง จ.ชลบุรี ในครอบครัวที่มีฐานะไม่ลำบากนัก โดยครอบครัวมีที่นาไว้ให้เช่า และมีร้านกาแฟ มีพี่น้อง 4 คน โดยเขาเป็นคนที่ 3 พนม นพพร จบการศึกษาชั้นมัธยม 6 (ระบบเก่า) จากโรงเรียนพัฒนศิลป์ ที่ จ. ชลบุรี และไม่ได้เรียนต่อเพราะว่าอยากเป็นนักร้องลูกทุ่ง แม้ว่าพ่อแม่อยากให้รับราชการมากกว่าก็ตาม
เขาชื่นชอบเพลงลูกทุ่งอย่างมาก โดยมีสาเหตุมาจากการชอบไปดูรำวง และฟังวิทยุ ซึ่งในสมัยนั้นก็นิยมเปิดเพลงลูก ทุ่งอย่างมาก จากนั้นก็เริ่มหัดร้องโดยยึดแนวของนักร้องมากมายหลายคน อาทิ คำรณ สัมบุณณานนท์ , ชาย เมืองสิงห์ ,พร ภิรมย์ ,ไพรวัลย์ ลูกเพชร , ไวพจน์ เพชรสุพรรณ เขาเคยตระเวนประกวดตามเวทีประกวดมาบ้าง แต่ปรากฏว่าไม่เคยชนะเลย ในระหว่างนั้น ก็เคยขึ้นไปร้องเชียร์รำวงอยู่บ้าง โดยได้ค่าร้องคืนละ 20 บาท เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้กับคณะรำวงชื่อดังแห่งยุคนั้นอย่างเช่นวงดาวน้อย และดาวทอง ต่อมา วงดนตรีของเทียนชัย สมยาประเสริฐ มาเปิดการแสดงแถว ต. บางพระ จ.ชลบุรี และมีการประกวดร้องเพลง พนม นพพร ก็ไปประกวด แต่ในงานนี้ เป็นการประกวดแบบอัดเทป ไม่มีการประกาศผลทันที แต่จะประกาศผลทางสถานีวิทยุในภายหลัง ซึ่งก็ปรากฏว่า พนม นพพร เป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ ประจวบกับช่วงนั้นเขาจบการศึกษาแล้ว ก็จึงเก็บเสื้อผ้าเข้ากรุงเทพ ฯ โดยมาอยู่ที่บ้านของเทียนชัย สมยาประเสิรฐ เพื่อฝึกร้องเพลง และร่วมวงดนตรี ซึ่งที่นี่เขาได้บันทึกเสียงเพลงแรกชื่อเพลง “ลมร้อน “ ผลงานการประพันธ์ของ อรุณ รุ่งรัตน์ โดยเขาใช้ชื่อว่า พนาวัลย์ ลูกเมืองชล เพลงนี้ก็ทำให้เขาเป็นที่รู้จักพอสมควร แต่อยู่ได้ไม่นานวงเทียนชัยก็แตก เนื่องจากลูกวงแยกย้ายกันไปตั้งวงเอง
เมื่อไม่มีที่ให้สังกัด พนม นพพร จึงต้องหาเลี้ยงชีพโดยการไปเป็นนักร้องสลับฉากให้กับคณะลิเก รวมทั้งวงดนตรีอื่นๆ ทั้งเพลิน พรมแดน , นิยม มารยาท และอื่นๆ ต่อมามีผู้ชวนไปสมัครอยู่กับวงจุฬารัตน์ของครูมงคล อมาตยกุล ปรากฏว่าครูไม่รับ โดยให้เหตุผลว่านักร้องเต็ม พนม นพพร จึงพยายามอีกด้วยการร้องเพลงให้ฟัง ครูก็ยังไม่รับ เขาจึงต้องเสนอตัวเป็นเด็กรถประจำวง และรับใช้นักร้องในวง แค่พอให้มีข้าวกินไปวันๆ ซึ่งครูก็ตอบตกลง
ระหว่างที่วงไปเดินสายแถวอีสาน เมื่อจะไปแสดงที่ อ. ชุมแพ นักร้องเริ่มป่วยกันมากขึ้น ทางวงเกรงว่าโปรแกรมการแสดงจะไม่พอ จึงนำเอาพนม นพพร ที่ต้องทำหน้าที่เก็บตั๋ว ไปร้องเพลงคร่าเวลา โดยให้ร้องเปิดวงเป็นคนแรก ซึ่ง พนม นพพร ก็ได้ร้องเพลง อนิจจา ของโฆษิต นพคุณ ปรากฏว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนในวงและผู้ชมอย่างมาก แต่ชีวิตของเขาหลังจากนั้น ก็ยังเหมือนเดิม เมื่อลงจากเวทีก็ยังต้องไปทำงานระดับล่างต่อไป แต่เขาก็ได้ร้องเพลงเปิดวงครั้งละ 1 เพลงมาตลอด
เมื่อ กลับมากรุงเทพฯ วันหนึ่ง นักร้องดังๆในวงต้องไปอัดแผ่นเสียง พนม นพพร ก็ตามไปรับใช้ด้วย ปรากฏว่าวันนั้น ราวตี 3 ก็อัดเสร็จแล้ว ซึ่งถือว่าเร็วมาก ครูมงคล อมาตยกุล เห็นว่าพอมีเวลาเหลือ จึงเรียกพนม นพพร มาลองซ้อมเพลง ตอนนั้น สรวง สันติ ได้แต่งเพลงให้พนม นพพร เพลงหนึ่ง เขาจึงนำเพลงนี้มาเสนอครูมงคล ปรากฏว่าซ้อมไปซ้อมมาครูเกิดชอบ จึงเขียนโน้ตให้นักดนตรี และบันทึกเสียงกันในตอนนั้นเลย เพลงนี้มีชื่อว่า “ สุขีเถิดที่รัก “ ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมาก
จากนั้น เมื่อพนม นพพร มีอายุประมาณ 20 ปี ก็มีโอกาสบันทึกเสียงอีก 2 เพลง เพลงแรกชื่อ “ อัดอั้นตันใจ “ ของลพ บุรีรัตน์ (ตอน นั้นใช้ชื่อ กนก เกตุกาญจน์ ) ส่วนอีกเพลง พนม นพพร บอกว่าเขาไม่ค่อยชอบ เพราะไม่ใช่แนวของเขา แต่ครูมงคลแนะนำว่า ยิ่งไม่ชอบยิ่งต้องใช้ความพยายาม แต่เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่สร้างชื่อให้พนม นพพร ขึ้นมาอยู่ในชั้นแนวหน้าของวงการลูกทุ่งไทย โดยเพลงนั้นก็คือเพลง “ ลาสาวแม่กลอง “ ที่แต่งโดย เกษม สุวรรณเมนะ
พนม นพพร อยู่กับวงจุฬารัตน์มานานหลายปี จนความนิยมที่มีต่อวงค่อยๆลดลงไป ครูมงคล อมาตยกุล จึงยุบวง ชินกร ไกรลาศ ซึ่งตอนนั้นก็ได้เข้าสู่วงการภาพยนตร์ไปก่อนแล้ว ก็ชวน พนม นพพร ไปเป็นตัวประกอบประเภทวิ่งผ่านหน้าฉาก ซึ่งเขาก็ร่วมแสดงอยู่หลายเรื่องจนได้พอมีบทบาทบ้างในภาพยนตร์เรื่อง “ ลมรักทะเลใต้ “ จากนั้นก็มีบทดีๆเรื่อยๆ
ขณะ เดียวกันเมื่อภาพยนตร์ดัง เพลงที่เขาร้องประกอบภาพยนตร์ก็ดังตามไปด้วย จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจตั้งวงดนตรีพนม นพพร ออกเดินสายแสดงดนตรีร่วมกับงานด้าน การแสดงไปด้วย วงพนม นพพร เดินสายอยู่ 5 – 6 ปี ก็ยุบวง
หลัง จากที่พอมีประสบการณ์เกี่ยวกับวงการภาพยนตร์อยู่บ้าง พนม นพพร ซึ่งมั่นใจในความสามารถของตน ทั้งด้านการแสดง การเขียนบท การตัดต่อ ก็ลองสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกดูบ้าง ชื่อ “ คมนักเลง “ เป็นภาพยนตร์แนวบู๊ มี สมบัติ เมทะนี และ อรัญญา นามวงศ์ นำแสดง แต่เมื่อสร้างเสร็จ ภาพยนตร์บู๊ตกยุคไปแล้ว พนม นพพร จึงล้มเหลวในงานสร้างภาพยนตร์ แต่เขาก็ไม่ท้อ เมื่อมีการสร้างต่อในเรื่องที่ 2 ชื่อ “ คุณพ่อขอโทษ “ ที่มี ไพโรจน์ สังวริบุตร และ ลลนา สุลาวัลย์ นำแสดง ปรากฏว่าเรื่องนี้พอประสบความสำเร็จอยู่บ้าง แต่พอถึงเรื่องที่ 3 คือ “ จับกัง “ ที่มี สรพงษ์ ชาตรี นำแสดง พนม นพพร ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ได้ทั้งเงินและกล่อง สมความตั้งใจ จากนั้นพนม นพพร ก็สร้างภาพยนตร์เพิ่มอีก 2 – 3 เรื่อง
หลังประสบความสำเร็จในแวดวงภาพยนตร์ เขาก็หันมาจับธุรกิจโทรทัศน์โดยการเปิดบริษัท นพพร โปรโมชั่น เพื่อซื้อเวลารายการโทรทัศน์เพื่อนำมาให้เช่าเวลาเปิดเพลงของค่ายต่างๆ และเรื่องนี้ก็เป็นสาเหตุให้เขาต้องเปิดค่ายเพลง อย่างนพพร ซิลเวอร์โกลด์ ตามมา โดยปัจจุบัน นพพร ซิลเวอร์โกลด์ มีนักร้องอยู่ในสังกัดกว่า 20 คน เช่น อัศวิน สีทอง , สาลี่ ขนิษฐา , แมงปอ ชลธิชา , อร อรดี และอื่นๆ
ในส่วนของงานเพื่อสาธารณะ พนม นพพร ยังเป็นนายกสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทยด้วย โดยเขาดำรงตำแหน่งนี้มาหลายปีแล้ว
ปี 2551 ได้รับปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาดนตรี จากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ที่มาจาก oknation.net