#ก่อนจะมาเป็นครูเพลงของ "สลา คุณวุฒิ" และเพลง "สาวชาวหอ"

[Nobunaga]

<a href="http://spamtheweb.com/ul/upload/3509/76715_001.swf" target="_blank">http://spamtheweb.com/ul/upload/3509/76715_001.swf</a>

สลา คุณวุฒิ หลังจากจบ ม.ศ. 3 ก็ได้มาเรียนต่อที่วิทยาลัยครูอุบลราชธานี เขาเคยเล่าให้ฟังว่า

“ผมเรียนจบ ม.ศ. 3 จากโรงเรียนป่าติ้ววิทยา ก็เข้าเรียนต่อที่ ว.ค.อุบลฯ ช่วงปี 2520-2521 หลักสูตร ป.กศ. ต้น ในโครงการครูตำบล ก่อนจบ ป.กศ. ต้น เทอมสุดท้าย มีเวลาว่างมาก หน้าห้องสมุดมีเวทีลานพอกให้เป็นที่แสดงกิจกรรมของนักศึกษา ตัวแทนทุกห้องก็มักจะมาจัดกิจกรรมไปแสดงทุกบ่ายวันพฤหัส

ผมกับเพื่อนกลุ่มขี้ดื้อคิดหาวิธีไม่ออก ก็เลยพากันตั้งวงดนตรีแบบง่ายๆ ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเล่นดนตรีเป็นเลยสักคน วิธีการก็คือผ่าเปลือกไม้ไผ่ถึงเยื่อบางๆ ตัดเป็นเลาคล้ายขลุ่ย แล้วนำมาเป่าเอาเสียงแคน ตั้งชื่อวงว่า “รักน้องฟอนลูกทุ่งแบมบู” มีผมเป็นนักร้องนำ เอาเพลง สายัณห์ สัญญา ชุด “แด่คนชื่อเจี๊ยบ” มาร้อง

ในช่วงนั้นมีเพลง “รักไม่ชื่นฉ่ำที่รามคำแหง” กำลังดัง ผมเลยประยุกต์เป็น “รักไม่ชื่นฉ่ำที่ ว.ค.” พอเรียนจบพวกเราก็เลยต้องแยกย้ายกันไป”

สลาเล่าถึงฉากชีวิตของการเป็นนักเพลงสมัครเล่นสมัยเป็นนักเรียนฝึกหัดครู ป.กศ. ต้น ซึ่งหลังจากเรียนจบแล้ว เขาเองก็ยังไม่มีสิทธิ์lอบบรรจุครู เพราะอายุยังไม่ถึง 18 ปี จึงเรียนต่อ ป.กศ.สูง เอกวิทยาศาสตร์

ตอนที่เรียนในวิชาเอกวิทยาศาสตร์ เขาก็ยังคงฝึกฝนการเขียนบทกวีและเรื่องสั้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนเป็นที่ยอมรับเของเพื่อนๆในห้อง เวลามีกิจกรรม นิทรรศการจัดบอร์ด สลามักถูกไหว้วานให้เขียนบทกลอน หรือเรื่องสั้นติดบอร์ดประกอบไปด้วย เพื่อสร้างสีสันอยู่เป็นประจำ

ยุคนั้นบรรยากาศดนตรีของหมู่นักศึกษาโดยรวมมักนิยมเพลงแนวเพื่อชีวิตเป็นส่วนใหญ่ แม้รอยเชื่อมต่อของสายธารเพลงแนวนี้จะสะดุดลงบ้าง อันเนื่องจากปัญหาทางการเมือง ทำให้วงดนตรีระดับหัวขบวน อย่าง คาราวาน กรรมาชน ฯลฯ ต่างต้องหลบลี้หนีภัยเผด็จการไปสู่เขตป่าเขากันถ้วนทั่ว ที่เหลีอมีเพียงวง แฮมเมอร์ ชึ่งรับอิทธิพลทางด้านรูปแบบและเนื้อหาของคาราวานมาโดยไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันเพียงวงแฮมเมอร์ดัดแปลงตัวเพลงให้เบากว่าคาราวานเท่านั้น

นักศึกษาวิชาเอกต่าง ๆ ตั้งตารอ เพื่อส่งรายชื่อการแสดงของตังเองวันพฤหัสบดีเป็นประจำ ทำให้พวกเอกวิทยาศาสตร์ต้องหันมาปรึกษากันเพื่อทำวงสมัครเล่นกับเขาบ้าง แม้โดยรวมจะมีแต่คนขี้อายก็ตาม

ยามนั้นดอกไม้ดนตรีต่างพากันเบ่งบานเหนือวิทยาลัยครูอุบลฯ จนละลานตา

สลาให้ข้อมูลตรงนี้ว่า “ความคึกคักส่วนหนึ่งมาจากเพี่อนนักดนตรีหนุ่มที่มีฝีมีอจัคจ้าน นาม วิทยา กีฬา ชึ่งมีโอกาสมาเรียนในรั้วสถาบันนี้เช่นกัน”

วิทยา กีฬา โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้รับเชิญให้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตครูหลายเรื่อง ที่กำกับการแสคงโดย สุรสีห์ ผาธรรม อาทิ ครูดอย, ครูวิบาก

การได้ร้องเพลงในภาพยนตร์เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากสำหรับความรู้สึกของเพื่อนๆ นักศึกษาช่วงวัยขนาดนั้น วิทยาและเพื่อน ๆ กลุ่มของเขาตั้งวงดนตรีในรั้ววิทยาลัยชื่อ “วงสุดสะแนน” เป็นที่ฮือฮามาก ตรงจุดนี้เองทำให้กลุ่มเอกวิทยาศาสตร์ของสลาตัดสินใจตั้งวงดนตรีของตัวเองขึ้นมาบ้างโดยใช้ชื่อว่า “วงอ้อคำ”

“อ้อคำ” เป็นวงดนตรีสไตล์โฟล์คซองที่เรียบง่าย มีกีตาร์โปร่งเพียง 3 ตัวเท่านั้น

สลารับหน้าที่ร้องผู้นำเพราะเขาเล่นดนตรีไม่เป็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ก่อนทำวงนี้สลาได้ไปซุ่มดูวงอื่นๆ แสดงอย่างตั้งใจก่อน ซึ่งทำให้เขาตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะล้วนแล้วแต่มีฝีมือฉกาจกันทั้งนั้น

ว่ากันโดยทักษะทางดนตรีแล้ว อ้อคำ สู้วงอื่นไม่ได้เลย ยิ่งถ้าร้องเพลงของศิลปินดังๆ ที่วงทั่วไปนิยมร้องแล้วก็ยิ่งเห็นข้อแตกต่างทางด้านฝีมือกันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น (ในช่วงเวลานั้นวงดนตรีส่วนใหญ่จะนิยมเล่นเพลงของ แฮมเมอร์ เป็นหลัก)

[Nobunaga]

พวกเขาจึงต้องหาจุดขายของตัวเองให้ได้เพื่อลบข้อด้อยที่มีอยู่ และนี่เป็นก้าวแรกของการแสวงหามุมมองเพื่อก้าวเข้าสู่โลกกว้างของ สลา คุณวุฒิ

จุดขายของอ้อคำที่การเน้นกลิ่นอายความเป็นพื้นบ้านอีสาน ไม่ว่าจะด้านเนื้อหาหรือภาษา จับมาใส่ให้มากที่สุด และก็ต้องสร้างผลงานเพลงเป็นของตัวเองด้วย ไม่งั้นสู้วงอื่นไม่ได้แน่

ภาพชนบทของหมู่บ้านนาหมอม้าที่เขาจากมาแว่บเข้ามาในห้วงความคิดเป็นฉากๆ กลางผืนนากว้างนั้นมีฝูงควายเดินเล็มหญ้าเป็นกลุ่มๆ บางตัวก็นอนแช่ในปลักโคลนตมอย่างสบายใจ กลิ่นอายตรงนั้นจัดจ้านจนเขารู้สึกและสัมผัสได้ แม้จะเพียงในจินตนาการ

สลา แต่งเพลง “บวกควาย” (เป็นภาษาอีสาน หมายถึง แอ่งน้ำที่ควายนอนพัก) สำหรับวงอ้อคำ เป็นเพลงแรก และหลังจากนั้นเพลงอื่นๆ ก็ค่อยๆ ตามมาอย่างไม่ขาดสาย โดยเน้นเนื้อหาพื้นถิ่นใกล้ตัวเป็นหลัก

ความรู้สึกแรกของการขึ้นเวทีเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันลืม แม้จะรักการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อเจอสายตาคนฟังนับร้อยคู่ หนุ่มน้อยจากบ้านนาหมอม้าก็ยังอดรู้สึกประหม่าไม่ไค้  หยดเหงื่อแห่งความตื่นเต้นแตกซิกไปทั้งร่าง

อย่างไรก็ตาม วงอ้อคำได้รับความนิยมจากหนุ่มสาวชาว ว.ค. อุบลฯ พอสมควร โดยเฉพาะเพลง “สาวชาวหอ” ที่เขาแต่งขึ้นเพียงเพื่อความสนุกสนานครึกครื้น แต่ทว่ากลับได้รับความนิยมมากกว่าเพื่อน

”สลาไม่ลองเอาเพลง สาวชาวหอ ไปขายเหรอให้พวกศิลปินดังๆ เขาร้อง อาจจะดังกับเขาก็ได้นะ” เพื่อนร่วมชั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับยุส่ง

ในตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยได้สนใจอะไรนัก แต่เมื่อมีหลายคนพูดขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มได้คิด

หากมีซักเพลงที่เขาแต่งขึ้นได้รับการบันทึกเสียง คงจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว

อนาคตใครเล่าจะคาดเดาได้  เขาเองก็คงไม่อาจจะคาดได้ว่า  เพลง “สาวชาวหอ” จะได้รับการบันทึกเสียงจากนักร้องดังแห่งยุคนาม “รุ่งเพชร แหลมสิงห์” และนั่นเป็นบันไดที่ทำให้เขาก้าวมาสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้ในปัจจุบันนี้



ปล. เพราะฉะนั้นจึงระบุได้่ว่า เพลงที่สลาแต่งเป็นเพลงแรกในชีวิตก็คือ “บวกควาย”

และเพลง "สาวชาวหอ" ก็แต่งขึ้นเมื่อเขาย่างเข้าสู่ระดับ ปกศ. สูง แล้ว หาใช่ตอนเรียนระดับมัธยมศึกษา อย่างเช่นที่ ดีเจ. บางท่าน แถวสมุทรปรารการ ว่าไม่ อิ อิ

 

[lungchai]

  ก็ได้ข้อมูลมาอีกเพียบ เอาไว้ประกอบการฟังเพลงเหมือนมีแจ่วรสแซ่บไว้จิ้มตับหวาน

[คนรักดี2012]

อ่านเวปนี้ได้ความรู้มากๆๆ นักจัดรายการเพลงอมตะทั้งหลายควรมาอ่านมาศึกษากันมากๆจะมีประโยชน์มากครับ ขอบคุณผู้จัดมากครับ

[เบียร์ สุปรีดา]

เพิ่งได้ทราบว่าเพลง สาวชาวหอ ครูสลาแต่งก้อวันนี้แหละครับ ขอบคุณมากๆ ครับ

[พรเพชร]

  ขอบคุณมากๆครับที่นำสาระดีๆมาให้การเดินทางเข้าสู้วงการเพลงมันยากจริงๆ
กว่าจะมาเป็นนักร้องนักแต่งเพลง และ นำสาระดีมาให้ใหม่นะครับ ขอบคุณครับ