ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
เมษายน 19, 2024, 10:52:44 AM

 


  หน้าแรก  • ช่วยเหลือ  • ค้นหา  • เข้าสู่ระบบ  • สมัครสมาชิก



สถานีวิทยุออนไลน์
สายสัมพันธ์





ท่านสามารถขอเพลงฟังได้
ที่กล่องขอเพลงด้านซ้ายมือ
แต่อาจไม่ได้รับฟังทุกเพลง
เนื่องจากจะรองรับเพลงตามขอ
ของสมาชิกภายในก่อน
หน้า: [1]
 
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องราวของจูบ  (อ่าน 3932 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
nongna
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 1731
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 589
สมาชิก ID: 1301


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 19 : Exp 68%
HP: 0%

สวัสดีค่ะ


« เมื่อ: มีนาคม 03, 2011, 11:05:34 AM »

เรื่องราวของจูบ
                                 
             นับจากวันที่ผู้เขียนกำลังเรียบเรียงบทความเรื่องนี้ อีกไม่กี่วันก็ใกล้จะเข้าเทศกาลที่คู่รักทุกคนกำลังรอคอย นั้นก็คือวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรักของคนทั้งโลก ก่อนหน้านี้ผู้เขียนได้มีโอกาสไปอ่านบทความบทความหนึ่งของ ศ.นพ.ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา ที่เขียนเรื่องราวของ "จูบ" เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ เลยหยิบยกเอามาแบ่งปันเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง "จูบ" เพื่อเตรียมพร้อมต้อนรับเทศกาลแห่งความรักที่กำลังจะมาเยือน

            ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กจนถึงเดี้ยวนี้ คาดว่าคงไม่มีไครที่ไม่รู้จักเพลง "จูบ ไครคิดว่าไม่สำคัญ" ของ พิทยา บุญยรัตพันธ์ ที่มีวลีเด็ดที่ว่า "จูบ ไครคิดว่าสำคัญ แต่เมื่อคุณจูบฉัน ทำไมฉันสั่น ไปถึงหัวใจ คุณเป็นคนจูบ คุณรู้บ้างใหม ฉันหนาว ฉันร้อน เหมือนดังเป็นไข้ ทุกที ทุกที" หลังจากผ่านร้อน-ฝน-หนาว มามากฤดู เริ่มตระหนักความสำคัญของ "จูบ" ขึ้นเรื่อยๆ และมาชอบใจเมื่อได้อ่านบทความของ Chip Walter ในScientific American Mind ฉบับพิเศษปลายปี 2009 ทั้งเล่มชื่อ "Sexual Brain" ซึ่งเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ความรู้สึกตอบสนองทางเพศในแง่ของสมอง

"จูบ" นั้น มีหลายแบบ มีจุดมุ่งหมายหรือนำไปสู่ผลตามต่างๆ กัน (ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) การจูบไม่ว่าจะหนัก เบา นุ่มนวล หิวกระหาย ตะกรุมตะกลาม จูบแบบอายๆ รักใคร่อ่อนโยน มีเพื่อสนองความต้องการ ความอยาก (Hungers) ก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางสื่อประสาทและเคมี ซึ่งปลุกเร้าระบบสัมผัส ความตื่นเต้นทางเพศ ความรู้สึกผูกพัน หรือเกิดความปีติอิ่มเอมใจ

จูบครั้งแรก อาจเป็นตัวตัดสินได้เลยว่า คนนี้ใช่เลย ... เนื่องจากความเชื่อจากผลการวิจัยระยะหลัง อาทิเช่น จากนักจิตวิทยาวิวัฒน์ (Evolutionary Psychologist) Gordon G. Gallup, Jr. จาก University at Albany State University of New York ในการให้สัมภาษณ์กับ BBC เมื่อเดือน ก.ย. 2007 ว่า

"เมื่อริมฝีปากแนบสนิทนั้น เป็นการเริ่มต้นของการสื่อสารที่สลับซับซ้อนทั้งรส สัมผัส กลิ่น และการปรับลักษณะท่าทาง (น่าจะอุปมาเหมือนเวลาเต้นรำกันนะครับ) ดิ่งลึกลงไปจนถึงกลไกใต้จิตสำนึก จนทำให้เกิดความตั้งใจหรือตัดสินใจที่จะสานสัมพันธ์ต่อหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์บางคนยังเชื่อว่า พฤติกรรมของการจูบอาจจะยังบ่งบอกต่อไปลึกล้ำว่า เต็มใจที่จะมีลูกด้วยกัน หรือแม้กระทั่งรับที่จะแบกภาระในการเลี้ยงดูลูกในอนาคต"
       
กระบวนการวิวัฒน์ของจูบนั้น นักสัตววิทยาของอังกฤษ Desmond Morris และ Chip Walter ได้เสนอว่า กลไกของจูบนั้นน่าจะเริ่มกระบวนท่ามาตั้งแต่ตอนที่สัตว์ประเภทลิง อาทิเช่น ซิมแปนซีป้อนอาหารให้ลูกตัวน้อย จากการที่เคี้ยวบดอาหารในปากก่อนที่จะประกบปากกับลูกส่งผ่านอาหาร และแม้แต่มนุษย์ในยามหิวโหยตั้งแต่โบราณกาลมีการปลอบประโลมลูกน้อยที่อดอยาก

การจูบเป็นการแสดงความรัก ความห่วงใยจนมีการพัฒนาที่ดุเดือดยิ่งขึ้นในเวลาต่อมา สารฟีโรโมน (Pheromones) ที่เรารู้จักกันดีในสัตว์และพืชหรือแม้แต่ในแมลง ซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อในการสานสัมพันธ์ (Sexual Attraction) หรือในการบ่งบอกแหล่งอาหาร อาจเป็นอีกกลไกหนึ่งในการสานสัมพันธ์ของการจูบ

ถ้าฟีโรโมนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจูบจริง การจูบก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพของฟีโรโมนให้ยิ่งออกฤทธิ์หนักขึ้นไป และเข้ากระบวนการ อาทิเช่น ในแมลง และสัตว์อื่นๆ ที่นำไปสู่การร่วมรัก แพร่พันธุ์ในที่สุด สำหรับเคมีต้องกันทางประสาทวิทยาศาสตร์ การจูบนั้นจุดกลไกของประสาทตั้งแต่เมื่อริมฝีปากใกล้จะประกบกัน โดยได้รับกลิ่นและเมื่อประกบกันแล้ว ผ่านทางประสาทสัมผัส ก่อนที่จะจุดชนวนทางอารมณ์ และกายภาพผ่านทางเส้นประสาท

สมองของคนมีเส้นประสาท 12 เส้น มีอย่างน้อย 5-6 เส้น ที่ถูกกระตุ้นในการจูบตั้งแต่เริ่มต้น คือ เส้นประสาทเบอร์ 1 (Olfactory nerve) ใช้ในการรับดมกลิ่น เบอร์ 5 (Trigeminal nerve) ในการรับสัมผัสเนื้ออุ่นเนื้อเย็นจาก ริมฝีปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม และกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวคางและขากรรไกร เบอร์ 7 (Facial nerve) ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าและแน่นอนริมฝีปาก เบอร์ 9 และ 10 (Glossopharyneal และ Vagus nerve) ควบคุมการส่งเสียง เบอร์ 12 (Hypoglossal nerve) ควบคุมลิ้น

แท้จริงแล้ว ในความเห็นของหมอเองทุกเส้นน่าจะทำงานหมด เบอร์ 2 (Optic nerve) ก็ทำหน้าที่ในการจ้องมองใบหน้าและริมฝีปาก เบอร์ 3-4 และ 6 (ควบคุมการกลอกลูกตา) ก็อาจต้องทำงานในการระแวดระวังมองไปทั่วๆ ก่อน ว่า มีใครอื่นๆ อยู่แถวนั้นบ้าง เบอร์ 8 (เส้นประสาทหูในการรับฟังและทรงตัว)

ใครบ้างครับปฏิเสธว่าเสียงที่ได้ยินขณะจูบมีความหมายมาก และเมื่อจูบแล้วถ้ามีปฏิกิริยาไฟช็อตเกิดขึ้นจนแทบจะยืนไม่ไหวเข่าระทวย เบอร์ 11 (ควบคุมการเคลื่อนไหว คอ บ่าไหล่) คงลำบากแย่นะครับ ถ้าเอาหน้าชนกันตรงๆเวลาจูบต้องเอียงหน้าตะแคงนิดๆ จึงจะเหมาะกว่า เมื่อเล็งลึกไปถึงสมอง ในสมองคนเราจะมีตำแหน่งต่างๆ ที่รองรับพื้นที่ของร่างกายกับตัว(Sensory Homunculus) ใน Somatosensory cortex พื้นที่ของริมฝีปากในสมองนั้นใหญ่โตมากครับ มากกว่าพื้นที่รองรับอวัยวะเช่นมือ หรือในระบบสืบพันธุ์ด้วยซ้ำ
           
กระบวนการจูบเดียวตกม้าตายหรือไม่ ยังขึ้นกับสารเคมีหลายชนิด Wendy L. Hill และ Carey A. Wilson จาก Lafayette College วัดระดับฮอร์โมน 2 ชนิด ได้แก่ Oxytocin ซึ่งมีส่วนในการทำให้เกิดการไว้เนื้อเชื่อใจ และCortisol ซึ่งหลั่งในขณะที่มีภาวะเครียด จาก 15 คู่ของนักเรียนชาย-หญิง ทั้งก่อนและหลังจูบกัน รวมทั้งก่อนและหลังที่พูดคุยกัน ซึ่งในระหว่างนั้นกุมมือซึ่งกันและกันไว้

ผลการศึกษาเป็นที่ประหลาดใจ โดย พบว่าฮอร์โมน Oxytocin หลั่งมากเฉพาะในชายเท่านั้น หลังจากจูบกันหรือพูดกันและจับมือไปด้วย ผู้วิจัยสรุปว่า ฝ่ายหญิงต้องการอะไรที่มากกว่าการจูบที่จะทำให้มีความรู้สึกผูกพันในอนาคต หรือแม้กระทั่งสมยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์ นั่นอาจจะหมายถึงต้องการบรรยากาศที่โรแมนติก ฯลฯ

หมอขอเพิ่มเติมว่า ฝ่ายชายน่าจะถูกหลอกง่ายกว่าฝ่ายหญิงเมื่อถูกจูบ (ฮา)อย่างไรก็ตาม การจูบทำให้ฮอร์โมน Cortisol มีระดับลดลงทั้ง 2 ฝ่าย โดยผู้วิจัยสรุปว่า การจูบทำให้ความเครียดลดลง (แต่หมอว่าอาจเพราะว่าได้เงินตอบแทนค่าร่วมวิจัย หรือไม่ก็ไม่ต้องเข้าคลาสตามปกติ และในฝ่ายชายนั้นอยากเข้าร่วมการวิจัยแน่นอนอยู่แล้ว)

การจูบนั้นจะก่อให้เกิดความผูกพันกันถึง "ความรัก" หรือไม่ ก็ต้องมีการทำงานของสมองในส่วนความสุขใจ ปีติ และผลักดัน ให้สานสัมพันธ์ต่อ(Pleasure Euphoria Motivation) สมองส่วนนี้คือ ventral tegmental area ด้านขวา ซึ่งเป็นบริเวณด้านท้องของก้านสมองส่วนต้น และ caudate nucleus ด้านขวา โดยผ่านสารควบคุม Dopamine สมองทั้ง 2 ส่วนมีหน้าที่เป็นศูนย์ให้รางวัล (Reward Center) และเป็นที่เดียวกันกับที่ยาเสพติด โคเคน (Cocaine) ออกฤทธิ์

ดังนั้น ความรักน่าจะเป็นยาที่ดีสำหรับมนุษย์นะครับ... และจูบครั้งแรกครั้งเดียวบางครั้งก็ตัดสินได้เลยว่าไม่ใช่ Gallup และคณะพบว่า 59% (จากผู้ชาย 58 ราย) และ 66 (จากผู้หญิง 122 ราย) ของผู้ร่วมวิจัยตอบว่าจูบแรกนั้นบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ แม้จะคบหากันมาก่อนหน้าแล้วก็ตาม ความรุนแรงบดขยี้ในการจูบก็มีความหมายจากนักศึกษา 1,041 ราย ฝ่ายชายจะจูบอย่างรุนแรงล้ำลึก เพื่อเป็นการกรุยทางสู่ขั้นต่อไปของกามารมณ์

ในขณะที่ฝ่ายหญิงจะใช้การจูบเพื่อชั่งใจ หยั่งใจตนเองว่าสมควรจะคบหากับอีกฝ่ายต่อไปหรือไม่มากกว่าที่จะเป็นเจตนาทางด้านกามารมณ์อย่างเดียวปฏิกิริยาต่อไปของจูบ คือ ผลต่อร่างกาย อวัยวะภายใน หัวใจเต้นเร็ว แรงขึ้น ความดันสูงขึ้น รูม่านตาขยาย หอบหายใจลึก ฯลฯ ดังที่เราทราบกัน

พฤติกรรมในระหว่างจูบก็มีความหมาย เคยสังเกตไหมครับว่าขณะจูบเราเอียงศีรษะ คอ ไปทางไหน ขวาหรือซ้าย ใครที่เอียงซ้ายรีบเปลี่ยนนะครับมาทางขวา Onur Gunturkun จาก Ruhr University of Bochum ในเยอรมนี สำรวจ 124 คู่ที่จูบกันในที่สาธารณะทั้งในสหรัฐ เยอรมนี และตุรกี เขาพบว่าจะเอียงไปทางขวามากกว่าซ้าย 2 เท่า นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่าคนที่เอียงซ้ายเวลาจูบว่าเป็นคนที่ไม่อบอุ่น ไม่รักใครจริงจัง การเอียงไปทางซ้ายถูกควบคุมจากสมองซีกขวา ซึ่งเป็นสมองอารมณ์ (หมอว่าน่าจะแสดงว่าเป็นอารมณ์แปรปรวน) มากกว่า จะเนื่องด้วยเหตุใดก็ตามเรื่องของ ซ้าย-ขวา ล่าสุดในปี 2006 Julian G. Greenwood และคณะจาก Stranmillis University College in Belfast,Northern Ireland พบว่า 77% ของนักเรียน 240 ราย เอียงมาทางขวา เวลาจะจูบแก้มตุ๊กตา และ 80% ของคู่หญิง-ชาย ใน Belfast ก็เอียงขวาเช่นกัน ทั้งนี้ อาจจะเป็นการเอียงขวาตามความถนัดมากกว่า
                     
จะสรุปอย่างไรก็ตามนะครับ ถึงแม้ว่าจูบ คือ การประกบแค่ริมฝีปาก แต่หมายถึงสัมพันธภาพที่จะเกิดขึ้นในทางดีหรือไม่ดีตามมาในอนาคต และนี่คือ เรื่องหนึ่งของมนุษย์ที่ไม่น่าจะธรรมดา

             เมื่ออ่านบทความเรื่องนี้จบ ทำให้หลายๆคนได้จินตนาการไปถึงการจูบในแต่ละครั้งว่าเรามีพฤติกรรมแบบนั้นจริงหรือป่าว โดยส่วนมากแล้วจะตรง และสามารถตอบคำถามตัวเองได้ว่า ทำไมตอนที่เราจูบกับคนที่เรารัก(หรือไม่รัก อันนี้ก็แล้วแต่สถานการณ์และประสบการณ์ของแต่ละคน) เราถึงทำแบบนี้ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยก็ควรรอให้ถึงเวลาอันที่เหมาะที่ควรถึงจะลอง สำหรับน้องๆเยาวชนอย่าริลองก่อนวัยอันควรนะคับ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้ปกครอง 
                                         



สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า

สวัสดีค่ะคุณผู้เยี่ยมชมยินดีที่ได้รู้จักนะคะ
มงคลชัย
สมาชิก
*

คำขอบคุณ: 510
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 74
สมาชิก ID: 1534


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 6 : Exp 95%
HP: 0%


« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 03:47:21 PM »

   อ่านแล้วซึ้ง  เลยหาเพลงมาประกอบ

<a href="http://www.youtube.com/v/1nwIU1hiHH8?fs=1&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;rel=0" target="_blank">http://www.youtube.com/v/1nwIU1hiHH8?fs=1&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;rel=0</a>   <a href="http://www.youtube.com/v/nTrPChCUuAg?fs=1&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;rel=0" target="_blank">http://www.youtube.com/v/nTrPChCUuAg?fs=1&amp;amp;hl=th_TH&amp;amp;rel=0</a>



สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
 
 
กระโดดไป:  






Saisampan.net
สายสัมพันธ์ - เพลงลูกทุ่งเก่า (เก่ากว่าที่ท่านคิด)
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!