ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
มีนาคม 19, 2024, 09:46:01 AM

 


  หน้าแรก  • ช่วยเหลือ  • ค้นหา  • เข้าสู่ระบบ  • สมัครสมาชิก



สถานีวิทยุออนไลน์
สายสัมพันธ์





ท่านสามารถขอเพลงฟังได้
ที่กล่องขอเพลงด้านซ้ายมือ
แต่อาจไม่ได้รับฟังทุกเพลง
เนื่องจากจะรองรับเพลงตามขอ
ของสมาชิกภายในก่อน
หน้า: [1] 2
 
ผู้เขียน หัวข้อ: เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci 1452 – 1519 )  (อ่าน 38407 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:43:03 AM »


เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci 1452 – 1519 )
เลโอนาร์โด ดา วินซี : Leonardo da Vinci


เกิด วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 ที่แคว้นทัสคานี (Tuscany) เมืองวินชี (Vinci) ประเทศอิตาลี (Italy)
เสียชีวิต วันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519 ที่เมืองอัมบัวส์ (Amboise) ประเทศฝรั่งเศส (France)
ผลงาน - ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของมนุษย์
- สร้างประตูน้ำแบบบากมุม 45 องศา (Mitre Lock Gate)
- ออกแบบเครื่องมือหลายชนิด เช่น เฮลิคอปเตอร์ เรืองท้องแบน เรือดำน้ำ เครื่องแต่งกายมนุษย์กบและปืนกล เป็นต้น
- ประดิษฐ์เครื่องดนตรี 21 ชนิด ได้แก่ พิณ และ วิโอล่า
- ประดิษฐ์ไฮโกรมิเตอร์

เลโอนาร์โดไม่ได้เป็นเพียงจิตรกรเอกของโลกเท่านั้น เขายังมีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์หลายแขนง ได้แก่
ดาราศาสตร์คณิตศาสตร์ และชีววิทยา และการออกแบบประดิษฐกรรมใหม่หลายอย่าง ผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ของเขาส่วนใหญ่
มักเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่ และเป็นพื้นฐานของสิ่งประดิษฐ์ในปัจจุบันนี้ด้วย เช่น เฮลิคอปเตอร์ เรือดำน้ำ เป็นต้น ผลงานที่สำคัญ
ที่สุดของเขาน่าจะเป็นการบุกเบิกเรื่องการบินเป็นคนแรก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถขึ้นบินได้สำเร็จก็ตาม แต่ก็มีส่วนพัฒนางานด้านนี้
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในยุคเดียวกันกับเขาไม่มีผู้ใดเลยที่ให้ความสนใจ

เลโอนาร์โด เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1452 ที่แคว้นทัสคานี เมืองวินชี ประเทศอิตาลี บิดาของเขาเป็นนักกฎหมายชื่อว่า
เปียโร เลโอนาร์โด (Piero Leonardo) เลโอนาร์โดมีความสนใจเรื่องวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก เขามักวาดภาพเหมือนสัตว์ต่าง ๆ ที่
เขาได้เก็บสะสมไว้ เช่น จิ้งจก ตุ๊กแก งู หนอน ค้างคาว มอด และตั๊กแตน เป็นต้น เขามีพรสวรรค์ในการวาดภาพ และฉายแววให้เห็น
มาตั้งแต่เด็ก ต่อมาในปี ค.ศ. 1466 ครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) เมื่อเลโอนาร์โดอายุได้ 18 ปี
บิดาของเขาได้ส่งเขาไปทำงานในห้องปฏิบัติงานศิลปะของศิลปินผู้มีชื่อเสียง อันเดรีย เวอร์รอกคิโอ ซึ่งทำให้เลโอนาร์โดมีความ
ชำนาญในเรื่องการวาดรูป อีกทั้งความสามารถในเรื่องการหล่อสำริดเพิ่มขึ้นอีกด้วย เลโอนาร์โดได้ฝึกฝนศิลปะอยู่ที่นี่เป็นเวลา 6 ปี
และในปี ค.ศ. 1472 เขาได้เข้าเป็นสมาชิกของสโมสรช่างแห่งเซนต์ลุก ซึ่งเป็นสมาคมของพวกจิตรกร นอกจากงานศิลปะแล้ว
เลโอนาร์โดยังให้ความสนใจในเรื่องคณิตศาสตร์และภูมิศาสตร์อีกด้วย

ด้วยความสามารถทางด้านศิลปะของเลโอนาร์โด ทำให้เขาวาดภาพเหมือนของโครงสร้างต่าง ๆ ของมนุษย์ สัตว์ และพืช
ได้อย่างเหมือนจริง ซึ่งเป็นประโยชน์ในการศึกษามาก เลโอนาร์โดได้ศึกษาโครงสร้างของมนุษย์จากศพมากกว่า 30 ศพ เขาได้ผ่า
ศพเหล่านี้เพื่อศึกษาระบบการทำงานของร่างกาย กล้ามเนื้อ รวมถึงการไหลเวียนของโลหิตด้วย จากการศึกษาอย่างละเอียด เขา
สามารถอธิบายถึงวิธีการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้เขาเข้าใจถึงโครงสร้างต่าง ๆ ของมนุษย์ได้อย่างละเอียด อีกทั้งเขาได้วาดภาพ
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไว้อย่างละเอียด งานของเลโอนาร์โดชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นรากฐานของวิชากายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยาเลย
ก็ว่าได้ ในส่วนของเรื่องพืช เขาได้ทำการทดลองปลูกพืชน้ำและพบว่าวงแหวนที่เป็นชั้น ๆ ในลำต้นพืช เป็นตัวบ่งบอกถึงอายุของ
พืช หรือที่เรียกว่า วงปี

ในปี ค.ศ. 1482 เลโอนาร์โดได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงลูโดวิโก อิล โมโร (Ludovico il Moro) ดยุคแห่งมิลาน
(Duke of Milan) โดยความช่วยเหลือของลอเรนโซ เดอ เมดิซี เลโอนาร์โด ภายในจดหมายฉบับนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับความ
สามารถ และอาวุธสงครามที่เขาออกแบบขึ้น ได้แก่
1. ร่มชูชีพ โดยใช้ผ้าผืนสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 13 หลา ใช้เชือกผูกมุมทั้ง 4 ไว้ ส่วนทางปลายเชือกอีกข้างหนึ่งใช้จับเวลา
กระโดดลงมาจากที่สูง
2. เครื่องร่อน เลโอนาร์โด สังเกตจากลักษณะของนก แล้วนำมาปรับปรุงเป็นเครื่องร่อน
3. เฮลิคอปเตอร์ โดยใช้ใบพัดขนาดใหญ่หมุนด้วยความเร็วสูง ซึ่งเขาไม่ได้สร้างเพียงแต่ออกแบบไว้เท่านั้น
4. เรือกล ซึ่งใช้ล้อหมุนพาย แทนคนพาย ซึ่งมีความเร็วถึง 50 ไมล์ต่อชั่วโมง
5. หน้าไม้ยักษ์ อยู่บนรถเข็น 6 ล้อ
6. ปืนกล มีลำกล้องเรียงเป็น 3 แถว ๆ ละ 11 กระบอก รวมทั้งหมด 33 กระบอก โดยใช้ยิงทีละแถว เมื่อแถวแรกหมดก็
นำแถวที่ 2 และ 3 ออกมาใช้ การที่ต้องทำเช่นนี้เพราะปืนในสมัยนั้นบรรจุลูกได้เพียงกระบอกละ 1 นัด เท่านั้น
7. เรือขุด ใช้หลักการเหมือนกับระหัดเกลียวของอาร์คิมีดีส
8. รถถัง มีลักษณะเป็นรถหุ้มด้วยทรงกรวยคว่ำ ด้านล่างติดปืนไว้โดยรอบ
9. เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นต้นแบบของเฮลิคอปเตอร์ในปัจจุบัน แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องยนต์ ดังนั้นเลโอนาร์โดจึงออกแบบ
ให้ใช้แรงคนในการหมุนใบพัดขนาดใหญ่
10. ปั้นจั่น เป็นเครื่องผ่อนแรงใช้สำหรับยกของหนัก
11. เรือดำน้ำ เขาได้ศึกษาเรื่องนี้มาจากปลา
12. รถถัง มีลักษณะคล้ายกับหัวลูกปืน และรอบ ๆ รถมีปืนกลซ่อนอยู่โดยรอบด้วย

อาวุธที่เลโอนาร์โดออกแบบถือว่าเป็นอาวุธที่มีความทันสมัยมาก อีกทั้งเป็นต้นแบบของอาวุธในปัจจุบันด้วย เช่น เฮลิคอปเตอร์
และรถถัง เป็นต้น แม้ว่าอาวุธบางชิ้นที่เลโอนาร์โดออกแบบจะไม่ได้สร้างขึ้นในสมัยนั้น แต่ก็ถือได้ว่าผลงานด้านวิทยาศาสตร์ ของเขา
เป็นงานที่สร้างสรรค์อย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีแผนการในการทำสงครามอีกด้วย เมื่อดยุคแห่งมิลานได้อ่านจดหมายฉบับนี้จึงเชิญเลโอนาร์โดมายังเมืองมิลาน
โดยจัดการต้อนรับเป็นอย่างดี แต่มิใช่ในฐานะของจิตรกรหรือนักวิทยาศาสตร์ กลับเป็นเพียงนักดนตรี และผู้จัดงานนันทนาการ
ทั้งหลาย ซึ่งเขาได้ริเริ่มการแสดงละครสวมหน้ากาก และละครโรงขึ้น และเลโอนาร์โดต้องการให้ท่านดยุคยอมรับเขาในฐานะอื่น
มากกว่า ซึ่งเขาได้ใช้ความพยายามและความสามารถที่มีอยู่เสนอผลงานต่าง ๆ อยู่เสมอ ต่อมาเมืองมิลานได้เกิดโรคระบาดขึ้น
และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของประชาชนในเมือง ดังนั้นเลโอนาร์โดจึงได้เสนอให้ท่านดยุคปรับปรุงระบบผังเมืองใหม่
เพื่อป้องกันโรคระบาดแพร่กระจาย เขาได้กระจายบ้านเรือนของประชาชนออกไป ขุดคลองเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ในการสุขาภิบาล
อีกทั้งยังออกแบบถนน 2 ชั้น ซึ่งท่านดยุคเห็นชอบในข้อเสนอนี้ และสั่งให้เลโอนาร์โดเป็นผู้รับผิดชอบในการออกแบบผังเมืองใหม่
นี้ด้วย

ต่อมาท่านดยุคมีโครงการจะสร้างอนุสาวรีย์ของบรรพบุรุษของท่าน คือ ดยุคฟรานเชสโก สฟอร์ซา (Francesco Sforza)
ในลักษณะขี่ม้าขนาดสูงถึง 29 ฟุต และต้องใช้ทองสำริดหนักถึง 90 ตัน ท่านดยุคได้มอบงานนี้ให้เลโอนาร์โดเป็นผู้รับผิดชอบ แต่
เนื่องจากในปี ค.ศ. 1499 อิตาลีได้ทำสงครามกับฝรั่งเศส และทองสำริดที่จะใช้ในการหล่ออนุสาวรีย์ต้องนำไปใช้หล่อปืนใหญ่แทน
ดังนั้นเลโอนาร์โดจึงนำรูปปั้นดินเหนียวของท่านดยุคฟรานเชสโก ไปประดิษฐานไว้บริเวณหน้าประตูพระราชวังแทน แต่เมื่อทหาร
ฝรั่งเศสได้ยกกองทัพเข้ามาภายในเมืองมิลานได้ทำลายอนุสาวรีย์นี้จนหมดสิ้น

หลังจากเมืองมิลานได้ถูกฝรั่งเศสยึดครองไว้ เลโอนาร์โดได้เดินทางหลบหนีไปอยู่ที่เมืองเวนิช (Vanice) และเข้าทำงาน
ในโครงการป้องกันภัยทางทะเลให้กับชาวเมืองเวนิช ซึ่งในขณะนั้นกำลังถูกโจมตีจากพวกเติร์ก หรือชาวตุรกี และในการทำงาน
ครั้งนี้เขาได้ออกแบบชุดมนุษย์กบโดยมีเครื่องครอบศีรษะ และรองเท้าที่ช่วยในการว่ายน้ำให้เร็วขึ้น หรือที่เรียกว่า ตีนกบ ซึ่งใช้
กันมาจนทุกวันนี้

นอกจากนี้เขายังทำการค้นคว้าและทดลองเกี่ยวกับการบิน โดยเลโอนาร์โดได้ศึกษาเรื่องนี้จากนกและได้สร้างปีกนกขนาดใหญ่
ขึ้น โดยเลียนแบบจากปีกที่ทำหน้าที่ในการบินของนก โครงของปีกทำด้วยไม้และบุด้วยผ้าบาง ๆ และขนสัตว์ เมื่อสร้างสำเร็จเขาได้นำ
ไปทดลองขึ้นบินแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อขึ้นบินโดยลูกศิษย์ของเขา โซโรอาสเต เดอ เปเรโตโล ปรากฏว่าไม่สามารถบินได้
และตกลง ทำให้เปเรโตโลได้รับบาดเจ็บขาหัก เลโอนาร์โดอยู่ที่เมืองเวนิชได้ไม่นานก็เดินทางไปเมืองฟลอเรนซ์ ในระหว่างนี้เขาได้รับ
ความลำบากในเรื่องเงินทองอย่างมาก ซึ่งทำให้เขาต้องรับจ้างวาดภาพเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น

เขาได้สร้างผลงานทางด้านศิลปะอันทรงคุณค่าของเขาทั้ง 2 ชิ้น ได้แก่ ภาพอาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper)
ในระหว่างปี ค.ศ. 1495 - 1497 บนฝาผนังยาว 30 ฟุต สูง 14 ฟุต ของโบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลา เกรซี (Santa Maria Della
Grazie) ด้วยสีฝุ่นผสมน้ำมันลงไปขณะที่ปูนยังเปียกอยู่ ซึ่งเขาเพิ่งทดลองเขียนเป็นครั้งแรก ภาพนี้เป็นภาพเกี่ยวกับพระเยซูพร้อม
กับสาวก 12 คน ขณะรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายอยู่ ต่อมากษัตริย์ ์ฝรั่งเศสได้ทรงทอดพระเนตรภาพนี้และรู้สึกประทับใจมาก
และมีคำสั่งให้นำภาพนี้กลับฝรั่งเศสด้วย ปัจจุบันภาพนี้แสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส อีกภาพ
หนึ่งเขาวาดในปี ค.ศ. 1500 ชื่อว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) หรือลาโจคอนดา ซึ่งเป็นชื่อของหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นแบบในการ
วาดรูป ภาพนี้เป็นภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มอันน่าประทับใจ

นอกจากงานทั้งหมดที่ได้กล่าวไปแล้ว เลโอนาร์โดได้สร้างผลงานทางวิทยาศาสตร์ขึ้นอีกหลายชิ้น ได้แก่ ผลงานทางด้าน
ดารา ศาสตร์ เขาถือได้ว่าเป็นนักดาราศาสตร์คนหนึ่งที่เชื่อถือในทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางของจักรวาลซึ่งคนในยุคนั้น ยังเชื่อถือในทฤษฎีของอาริสโตเติลที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

เลโอนาร์โดได้ประดิษฐ์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เรียกว่า ไฮโกรมิเตอร์ (Hygrometer) ใช้สำหรับวัด
ความชื้นในอากาศ และตาชั่งอีกทั้งยังเป็นผู้ค้นพบ พลังงานไอน้ำ เขาได้ทำการทดลองโดยการนำภาชนะใส่น้ำแล้วผิดสนิทและ
นำไปต้ม ผลปรากฏว่าภาชนะนั้นระเบิดออกมาด้วยแรงดันของไอน้ำ

ในปี ค.ศ. 1506 เลโอนาร์โดได้รับเชิญจากพระราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 (King Louis XII) แห่งฝรั่งเศส ให้ดำรง
ตำแหน่งวิศวกร และจิตรกรประจำราชสำนัก ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเลโอนาร์โดได้พำนักในคฤหาสน์แห่งหนึ่งในเมืองอัมบัวส์
ของกษัตริย์ฝรั่งเศสองค์ใหม่ พระเจ้าฟรังซัวส์ที่ 1 (King France I) ในปี ค.ศ. 1518 เขาได้ล้มป่วยด้วยโรคอัมพาตที่แขนขวา
และเสียชีวิตในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519 ที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:43:56 AM »



“พระเยซูรับศีลจุ่ม” The Baptism of Christ
เลโอนาร์โด ดา วินชี ค.ศ. 1472 - ค.ศ. 1475
ภาพเขียนสีน้ำมันบนไม้ 177 × 151 cm
หอศิลป์อุฟฟิซิ, ฟลอเรนซ์





เยซูรับศีลจุ่ม (The Baptism of Christ) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยอันดรีย เดล เวอร็อคคิ และห้องเขียนภาพเวอร็อคคิเป็นจิตรกรสมัยเรอเนซองส์ชาวอิตาลี

ภาพเขียนปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่หอศิลป์อุฟฟิซิ, ฟลอเรนซ์ ในประเทศอิตาลี

เวอร็อคคิ โอเขียนภาพ “พระเยซูรับศีลจุ่ม” เสร็จราวปี ค.ศ. 1475 เป็นภาพที่ได้รับจ้างโดยวัดซานซาลวิในฟลอเรนซ์ และตั้งอยู่ที่วัดจนปี ค.ศ. 1530

เป็นภาพที่เขียนในห้องเขียนภาพของอันดรีย เดล เวอร็อคคิโอ ที่เห็นลักษณะการเขียนได้จากพระวรกายของพระเยซู และนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์

ชื่อ เสียงของภาพอยู่ที่ผู้ช่วยเวอร็อคคิโอเขียนภาพ เทวดาผมสีทองทางด้านซ้ายเป็นงานเขียนของเลโอนาร์โด ดา วินชี ผู้ที่ทำงานอยู่กับเวอร็อคคิโอราวปี ค.ศ. 1470

นักวิจารณ์ศิลปะบางคนกล่าวว่า เทวดาองค์ที่สองวาดโดยจิตรกรฟลอเรนซ์ซานโดร บอตติเชลลี

ภาพเขียนแสดงภาพของนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์ เทน้ำบนพระเศียรพระเยซูในการทำพิธีศีลจุ่ม

ด้าน บนสุดของภาพ เป็นภาพมือของพระเจ้ายื่นลงมา และพระจิตที่กางปีกเหนือพระเศียรพระเยซู และรัศมีกางเขนที่แสดงว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า และส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ

เทวดาสององค์ริมแม่น้ำ ถือฉลองพระองค์ของพระเยซู การวางรูปโดยทั่วไป ว่าสร้างโดยเวอร็อคคิโอ ผู้เป็นครูและเจ้าของห้องเขียนภาพ และถือว่าเป็นงานชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของเวอร็อคคิโอ
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:45:00 AM »



“การประกาศของเทพ” Annunciation เลโอนาร์โด ดา วินชี
ค.ศ. 1472 - ค.ศ. 1475 ภาพเขียนสีน้ำมันบนไม้
97 × 217 cm หอศิลป์อุฟฟิซิ ฟลอเรนซ์


การประกาศของเทพ (Annunciation) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยเลโอนาร์โด ดา วินชีจิตรกรสมัยเรอเนซองส์ชาวอิตาลี ที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่หอศิลป์อุฟฟิซิ ฟลอเรนซ์ในประเทศอิตาลี

เลโอนาร์โดเขียนภาพ “การประกาศของเทพ” ระหว่างปี ค.ศ. 1472 ถึงปี ค.ศ. 1475 เป็นภาพการประกาศของเทวดาเกเบรียล ต่อเวอร์จินแมรีว่าจะทรงให้กำเนิดแก่พระเยซู เป็นฉากที่ดา วินชีตั้งในลานในสวนในวิลลาที่ฟลอเรนซ์

เทวดาถือดอกลิลลิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ของพระแม่มารี กล่าวกันว่าปีกที่วาดดาวินชิวาดจากปีกของนกที่กำลังบิน แต่ปีกถูกวาดให้ยาวขึ้นโดยจิตรกรรุ่นต่อมา

เมื่อหอศิลป์อุฟฟิซิได้ ภาพมาในปี ค.ศ. 1867 จากสำนักสงฆ์ซานบาร์โทโลเมโอ แห่งมอนเตโอลิเวโตไม่ไกลจากฟลอเรนซ์ เป็นภาพที่ระบุว่าวาดโดยโดเมนนิโค เกอร์ลันเดา ที่เหมือนกับดา วินชี ที่ฝึกงานกับอันดรีย เดล เวอร์ร็อคคิโอ ในปี ค.ศ. 1869

นักวิจารณ์ศิลปะบางคนเห็นว่าเป็นงานของดา วินชีเมื่อเพิ่งเริ่มเขียน

เวอร์ ร็อคคิโอใช้สีที่มีตะกั่วและฝีแปรงที่หนัก และทิ้งจดหมายไว้ไห้ดา วินชี เขียนฉากหลังและเทวดาให้เสร็จ ดา วินชีใช้ฝีแปรงที่เบากว่าและสีที่ไม่มีตะกั่ว เมื่อเอ็กซเรย์ภาพงานของเวอร์โรชชิโอ เห็นได้ชัดขณะที่งานของดา วินชีไม่ปรากฏ

โต๊ะหินอ่อนหน้าพระแม่มารีอาจจะเป็นที่เก็บศพของเปีย โร ดิ โคสิโม เดอ เมดิชิในบาซิลิกาซานโลเร็นโซที่เวอร์โรชชิโอกำลังแกะอยู่ในช่วงนั้น

เกร็ดความรู้

เป็น ที่กล่าวถึงความอัจฉริยะในตัวของ ดา วินซี ว่า ภาพของพระแม่มารีส่วนบนจะอยู่กึ่งกลางของพนังด้านหลังพอดี ราวกับว่าอยู่ในกรอบรูปที่กำหนด
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:45:55 AM »



“พระแม่มารีกับดอกคาร์เนชั่น” Madonna of the Carnation
เลโอนาร์โด ดา วินชี ค.ศ.1478 - ค.ศ.1480
ภาพเขียนสีน้ำมันบนแผง 47.5 × 62 cm
พิพิธภัณฑ์ศิลปะเดิม มิวนิค





พระ แม่มารีกับดอกคาร์เนชั่น หรือ พระแม่มารีกับแจกัน หรือ พระแม่มารีกับพระบุตร (Madonna of the Carnation หรือ Madonna with vase หรือ Madonna with child) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี จิตรกรสมัยเรอเนซองส์คนสำคัญชาวอิตาลี

ที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเดิม มิวนิคในประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1889 หลังจากอยู่ในมือผู้สะสมส่วนบุคคล

ดา วินชี เขียน “พระแม่มารีกับดอกคาร์เนชั่น” ราวระหว่างปี ค.ศ. 1478 ถึงปี ค.ศ. 1480 ซึ่งเป็นสมัยเรอเนซองส์ตอนต้น

ใจ กลางภาพเป็นพระแม่มารีและพระบุตรบนพระเพลา มารีทรงแต่งองค์ด้วยเครื่องทรงที่หรูหราและทรงสวมอัญมณี ในพระหัตถ์ซ้ายทรงถือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งตีความหมายว่าเป็นสัญลักษณ์ของการหายจากความเจ็บป่วย

พระพักตร์ ของพระองค์ฉายด้วยแสงที่สว่างกว่าส่วนอื่นๆ ของภาพ เช่นดอกคาร์เนชั่นที่บังอยู่ในเงา พระบุตรทรงแหงนมองมาทางพระพักตร์พระมารดาขณะที่พระมารดาทรงมองสวนลงมา

แต่มิได้ทรงสบพระเนตรกัน ตัวแบบนั่งอยู่ในห้องที่มีหน้าต่างสองบานสองข้าง

เดิมเชื่อกันว่าเป็นภาพที่เขียนโดยอันดรีย เดล เวอร์โรชชิโอ แต่นักประวัติศาสตร์ศิลปะตกลงกันว่าเป็นงานของ ดา วินชี

พระ แม่มารีและพระบุตร เป็นหัวเรื่องของศิลปะคริสต์ศาสนาที่นิยมเขียนกันในยุคกลาง ภาพเขียนนี้เป็นภาพเดียวของเลโอนาร์โด ดา วินชี ที่ตั้งแสดงอย่างถาวรในประเทศเยอรมนี

สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:46:57 AM »


“พระแม่มารีเบนัวส์” Benois Madonna
เลโอนาร์โด ดา วินชี ค.ศ. 1478
ภาพเขียนสีน้ำมัน 49.5 × 33 cm
พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจ, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย

พระแม่มารีเบนัวส์ หรือ พระแม่มารีและพระบุตรกับดอกไม้ (Benois Madonna หรือ Madonna and Child with Flowers) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี จิตรกรสมัยเรอเนซองส์ชาวอิตาลี

ที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจ ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย

“พระ แม่มารีเบนัวส์” อาจจะเป็นหนึ่งในงานเขียนพระแม่มารี ที่เลโอนาร์โดกล่าวถึงในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1478 อีกภาพหนึ่งอาจจะเป็นภาพ “พระแม่มารีกับดอกคาร์เนชั่น” ที่หอศิลป์เก่าที่มิวนิค

อาจจะเป็นไป ได้ว่า “พระแม่มารีเบนัวส์” เป็นงานเขียนชิ้นแรกที่เขียนหลังจากที่ เป็นอิสระจากอันดรีย เดล เวอร์โรชชิโอ งานร่างสองชิ้นของภาพนี้เป็นของพิพิธภัณฑ์บริติช

รอยยิ้มที่ไม่เผยอริมฝีปาก ทำให้น่าสันนิษฐานกันได้ว่าเป็นงานเขียนที่ยังไม่เสร็จเช่นภาพเขียนอื่นๆ ของเลโอนาร์โด

องค์ ประกอบของภาพ “พระแม่มารีเบนัวส์” เป็นองค์ประกอบที่เป็นที่นิยมที่สุดอันหนึ่ง ของเลโอนาร์โดที่จิตรกรคนอื่นเลียนแบบกันอย่างแพร่หลาย รวมทั้งราฟาเอลที่เขียนภาพที่คล้ายคลึงกันชื่อ “พระแม่มารีสีชมพู”

ภาพ “พระแม่มารีเบนัวส์” หายไปอยู่หลายร้อยปี จนในปี ค.ศ. 1909 เมื่อสถาปนิกลิออง เบนัวส์ (Leon Benois) นำไปแสดงเป็นส่วนหนึ่งของงานสะสมของพ่อตา ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ภาพ เขียนถูกนำจากอิตาลีไปรัสเซีย โดยอเล็กซานเดอร์ คอร์ซาคอฟ ในคริสต์ทศวรรษ 1790 เมื่อคอร์ซาคอฟเสียชีวิต ลูกชายก็ขายให้กับพ่อค้าอัสตราคาน (Astrakhan) เป็นจำนวน 1400 รูเบิลส์

และในที่สุดก็ผ่านมาเป็นของ ครอบครัวเบนัวส์ในปี ค.ศ. 1880 หลังจากถกเถียงกัน เรื่องใครเป็นผู้เขียนที่แท้จริงอยู่เป็นนาน ลิอองก็ขายภาพให้กับพิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจในปี ค.ศ. 1914

ตั้งแต่นั้นมาภาพเขียนก็ตั้งแสดงอยู่ที่นั่น
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:48:03 AM »


Ginevra de Benci
Leonardo da Vinci

Tempera and oil on panel, 15 x 14 1/4 in., 38.5 x 36.7 cm
Washington, National Gallery of Art

Ginevra De' Benci ภาพนี้เป็นงาน Portrait ช่วงแรกๆของ "Da vin Ci" ที่เขาได้ใช้เทคนิคเกี่ยวกับแสง ที่ชื่อว่า "Chiaroscuro" เข้ามาในงานของเขา การที่เขาใช้เทคนิคนี้นั้นมันได้ทำให้ภาพคนในงานชิ้นนี้นั้น ดูนูน ขึ้นมา และดูมีมิติมากขึ้นคล้ายๆ กับว่าเราสามารถมองดูคนในภาพได้รอบๆตัว ราวกับว่าเป็นงานประติมากรรม ที่สามารถดูได้ทั้ง 3 มิติ รูปคนจะดูลอยนูนขึ้นมาจากพื้นผิวของ Canvas อย่างเห็นได้ชัดเขาได้ทำการผสมผสาน ความแตกต่างเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว และน่าทึ่ง เช่นความมันเงา เวาวาว ใสตรงบริเวณรอนผมที่หยิกเข้ากับ ความมืดมนไม่สดใสตรงบริเวณ ใบของต้นสน สิ่งที่เป็นหัวใจในงานของ Da Vin ci นั้นก็คือ สิ่งที่ Da vin Ci เคยพูดและบันทึกไว้ใน Notebook ของเขาว่า "จิตรกรนั้นควรมีเป้าหมายหลักประการแรกก็คือ การทำพื้นผิวภาพ ที่แบนให้ดูมีรูปร่างที่หนานูนขึ้นมาเป็น 3 มิติโดยให้หลุดออกมาจากพื้นหลัง ด้วยการใช้แสงและเงา ความมืด กับความสว่าง และ Leonardo นั้นเขาเชื่อว่า ความงาม ความวิเศษ และ สุนทรีย์ของภาพเขียนที่ดีเยี่ยมนั้น ไม่ได้อยู่ที่การใช้สีที่สดใสเพียงอย่างเดียว โดยลืมการที่จะทำให้ภาพนั้นนุนขึ้นมาดูเป็น 3 มิติ ด้วยแสง และเงา ซึ่งสีที่สดใสเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถ ที่จะทำให้ภาพๆนั้นเป็นภาพที่ดีและมีมิติได้ "
ทฤษฎีสิ่งที่ Leonardo Da vin Ci พูดไว้และบันทึกไว้ นี้มันได้ปรากฏอยู่ในภาพเขียนของเขาทุกๆภาพและ สิ่งนี้เองที่ทำให้งานของ Da vin Ci ยิ่งใหญ่ งดงาม ซึ่งแม้แต่กาลเวลาก็ไม่สามารถ ลบเลือนความ อัจฉริยะในตัว ของคนที่ชื่อ "Leonardo Da Vin ci" ไปได้แม้แต่เสี่ยววินาที

แสง และ สี ในทฤษฎีของ Da Vin Ci
จริงๆแล้ว Leonardo นั้นเขาศึกษาเรื่องแสงควบคู่ไปกับสีเสมอสิ่งที่เขาสังเกตุเห็นคือ การที่แสงทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงสีในภาพเขียนจึงได้สูตรที่เรียกว่า "Aerial Perspective" สูตรนี้นั้นอธิบายได้ว่า สีต่างๆจะมัว หรืออ่อนจางลงไปเมื่อลำแสง ส่องผ่านอะไรๆในอากาศ ความเข้มจัดของสีที่ลดลงทุกที ตามระยะทางที่ห่างออกไป จากสมุดบันทึกของLeonardoนั้นเขาจะทำการแบ่งประเภทของแสง โดยเขาให้ความสำคัญ กับแสง 3 ประเภทคือ 1 แสงแบบ Universal Light 2 แสงแบบ Specific Light 3 แสงแบบ Reflected Light
จากการที่เขา แบ่งสีออกเป็นประเภทต่างๆได้นั้น ทำให้ Leonardo พบข้อสรุปเกี่ยวกับแสง และสีได้ว่าเราไม่มีวันที่ จะเห็นสีแท้ของวัตถุได้ เนื่องจากมีแสงสะท้อนจากสิ่งอื่นๆรอบข้าง รวมทั้งสีของอากาศที่อยู่ระหว่างตาของผู้ดูทำให ้สีแท้ของวัตถุเกิดการเปลี่ยนแปรทั้งสอง สิ่งนี้คือหัวใจของทฤษฏีแสงและสีของ Leonardo ที่เขาได้ใช้ในงาน ของเขาเกือบทุกชิ้น จนประสบความสำเร็จในงานของเขามาแล้วนั่นเอง
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:48:57 AM »


โทเบียสและเทวดา
(Tobias and the Angel)
ค.ศ. 1470–ค.ศ. 1480
สีฝุ่นบนไม้พอพพลา
หอศิลป์แห่งชาติ, ลอนดอน

อันเดรีย เดล เวอร์ร็อคคิโอและห้องเขียนภาพ (รวมทั้งเลโอนาร์โด?)
ภาพเขียนโดยเวอร์ร็อคคิโอเมื่อเลโอนาร์โดทำงานในห้องเขียนภาพมาร์ติน เค้มพ์ (Martin Kemp) เสนอว่าเลโอนาร์โดอาจจะเขียนบางส่วน, ที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดก็คือปลา เดวิด แอแล็น บราวน์แห่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติ, วอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่าอาจจะวาดสุนัขด้วย
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:50:04 AM »


Saint Jerome
ประมาณปี 1480
Tempera and oil on panel, 40 1/8 x 29 1/4 in., 103 x 75 cm
Rome, Musei Vaticani, Pinacoteca Vaticana

ภาพ “ นักบุญเจโรม ” ( St. Jerome ) ชิ้นนี้ ลีโอนาร์โด ดา วินซี ได้เขียนขึ้นในช่วง ค.ศ. 1480 ขณะพำนักอยู่ในนครฟลอเรนซ์ ขณะนั้นเลโอนาร์โดอายุได้ 30 ปี เป็นภาพเขียนสีน้ำมันขนาด 41 1/5 นิ้ว x 30 นิ้ว ปัจจุบันอยู่ในหอศิลปกรรมวาติกัน กรุงโรม และภาพนี้เป็นภาพที่เขียนค้างไว้ยังไม่เสร็จ
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:51:06 AM »


THE ADORATION OF THE MAGI (เดอะ อะดอร์เรชั่น ออฟ เดอะ เมไจ)
1481 - 1482 อยู่ใน พิพิธภัณฑ์ อุฟฟิซี่ (Uffizi) Florence 246 x 243 cm

The Adoration of the magi เป็นภาพร่างสำหรับ ภาพเขียนที่สั่งโดยสำนักบาทหลวงในฟลอเรนซ์ ตามที่นักวิชาการเชื่อกันภาพวาดนี้ เป็นสุดยอดของเลโอนาร์โดก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่ที่มิลาน
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:52:04 AM »


พระแม่มารีให้นม (ภาษาอังกฤษ: Madonna Litta) เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่เขียนโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี จิตรกรสมัยเรอเนซองส์ชาวอิตาลี ที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในสหพันธรัฐรัสเซีย

เลโอนาร์โดเขียนภาพ “พระแม่มารีให้นม” ราวปี ค.ศ. 1490 เป็นภาพที่พระแม่มารีกำลังให้นมแก่พระบุตร แต่ท่าทางเก้งก้างของพระบุตรทำให้นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่าบางส่วนของ ภาพอาจจะเขียนโดยโบลทราฟฟิโอผู้ เป็นลูกศิษย์ของดา วินชี อีกข้อหนึ่งที่ทำให้สันนิษฐานว่าดา วินชีให้ลูกศิษย์เขียนให้เสร็จคือจากเส้นของของพระแม่มารีและพระบุตรดูแข็ง กว่างานอื่นของดา วินชี และฉากหลังที่เรียบ

ภาพ “พระแม่มารีให้นม” เป็นภาพที่เขียนให้กับตระกูลวิสคอนติประมุขแห่งมิลาน ต่อมาตกไปเป็นของตระกูลลิตตาที่เป็นเจ้าของต่อมาอีกหลายร้อยปี ในปี ค.ศ. 1865, ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 แห่งรัสเซียซื้อจากเคานท์ลิตตา และเก็บภาพไว้ที่พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิทาจที่เป็นที่ตั้งของภาพมาจนกระทั่งทุก วันนี้ ภาพเขียนปรากฏในภาพยนตร์ รหัสลับดาวินชี
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:52:47 AM »


MADONNA OF THE ROCK (VIRGIN OF THE ROCK)
1483-1486 ขนาด 199 x 122 cm

มี 2 แบบ ของเลโอนาร์โด แบบหนึ่ง อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ลูฟร์ (louvre) อีกแบบ หนึ่ง อยู่ที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในลอนดอน (National Gallery, London)


เมื่อ เวลาผ่านไป ต้นฉบับถูกมอบให้คนอื่น ว่ากันว่าเป็นผู้ปกครองมิลาน ลูโดวิโค่ สฟอร์ซา (Ludovico Sforza) ได้มอบให้กับกษัตริย์ของฝรั่งเศสหรือจักรพรรดิของเยอรมัน ซึ่งเป็นภาพที่อยู่ในลูฟร์

ผลงานจิตรกรรมของเลโอนาร์โดที่มีลักษณะ การจัดองค์ประกอบเหมือนกันมากทั้ง ๒ ชิ้นนี้ ยังมีรูปร่างของชิ้นงานเหมือนกันมากด้วย กล่าวคือ เป็นภาพแนวตั้งโดยด้านบนเป็นรูปโค้ง ส่วนขนาดของภาพก็ใกล้เคียงกันมาก กล่าวคือ ภาพที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานลูฟร์มีขนาด ๑๙๕x๑๒๐ ซม. ส่วนภาพที่อยู่ในศิลปแห่งชาติมีขนาด ๑๘๗x๑๑๗ ซม. ถือว่ามีขนาดต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:53:36 AM »



The Virgin of the Rocks
1503-1506
Oil on wood
189.5 x 120 cm (6 x 4 ft.)
National Gallery, London

สิ่งที่ต่างกันมากก็คือกาลเวลาที่เขียนกับวัยของ ศิลปินผู้เขียน กล่าวคือ ภาพที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานลูฟร์นั้นศิลปินเลโอนาร์โดเขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ.๑๔๘๓ ขณะยังเป็นหนุ่มแน่นอายุราว ๓๑ ปี และอาจเขียนขึ้นก่อนเดินทางออกจากนครฟลอเรนซ์ไม่นานนัก หรืออาจเขียนขึ้นในทันทีที่ไปถึงนครมิลานก็เป็นได้ ส่วนภาพที่อยู่ในหอศิลปแห่งชาตินั้น เลโอนาร์โดเขียนขึ้นในนครมิลานและเขียนขึ้นหลังจากนั้นมานานถึง ๒๓ ปี นั่นคือเขียนเมื่อปี พ.ศ.๒๐๔๙ (ค.ศ.๑๕๐๖) ขณะเป็นศิลปินหนุ่มใหญ่วัย ๕๔ ปี และมีชีวิตอยู่เป็นสุขดีในนครมิลาน
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 10:54:19 AM »


ภาพนี้จริงๆ แล้วก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า เป็นฝีมือของดา วินชี่หรือไม่ บางก็สันนิษฐานว่า เป็นงานที่ดา วินชี่ทำไม่เสร็จ แต่มาสำเร็จในยุคของลูกศิษย์ก็มี
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
chatjaroen
สมาชิก
*

คำขอบคุณ: 3801
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1155
สมาชิก ID: 1130


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 27 : Exp 60%
HP: 0%


« ตอบ #13 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 12:36:05 PM »

ท่าน"tanay2507" 
          ช่างขยันสรรหา มาฝากให้
ได้ชื่นใจ ชื่นชม นิยมทั่ว
มีของดี มิเก็บได้ไว้กับตัว
ขอยกหัว นิ้วโป้งตอบ แทนขอบคุณ
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 35 : Exp 73%
HP: 0%


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 12:41:59 PM »


La Belle Ferronière
เป็นภาพวาดด้วยสีน้ำมันบนแผ่นไม้ ปัจจุบันเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ประเทศฝรั่งเศส
ภาพนี้มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเป็น Lucrezia Crivelli คนรักของลูดาวิโค สฟอร์ซา อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีนักวิชาการท่านใด
ยืนยันแบบฟันธงลงไปในว่า ผู้หญิงในภาพนี้ คือใครกันแน่

ยังมีการสันนิษฐานกันอีกว่า คำว่า La Belle Ferronière เป็นชื่อเล่นที่พระเจ้าอองรีที่ 2 ของฝรั่งเศส ใช้เรียกชื่อพระสนมคนโปรด
ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเธอก็คือ อิสซาเบลลาแห่งอารากอน
แล้วก็ยังเป็นที่รู้กันดีอีกว่าในบันทึกประวัติชีวิต เลโอนาร์โด วาดรูป Lucrezia Crivelli และผู้หญิงในภาพนี้ น่าจะเป็นเธอผู้นั้น

น้ำหนักที่ทำให้การสันนิษฐานโน้มเอียงไปทาง Lucrezia Crivelli อีกอย่างหนึ่งก็คือ สร้อยคาดศีรษะครับ ในช่วงเวลานั้นเป็นแฟชันที่กำลังฮิตกันในเมืองฟลอเรนซ์ในช่วงนั้นเอง
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
 
 
กระโดดไป:  






Saisampan.net
สายสัมพันธ์ - เพลงลูกทุ่งเก่า (เก่ากว่าที่ท่านคิด)
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!