ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ธันวาคม 23, 2024, 03:41:56 am

 


  หน้าแรก  • ช่วยเหลือ  • ค้นหา  • เข้าสู่ระบบ  • สมัครสมาชิก



สถานีวิทยุออนไลน์
สายสัมพันธ์





ท่านสามารถขอเพลงฟังได้
ที่กล่องขอเพลงด้านซ้ายมือ
แต่อาจไม่ได้รับฟังทุกเพลง
เนื่องจากจะรองรับเพลงตามขอ
ของสมาชิกภายในก่อน
หน้า: [1]
 
ผู้เขียน หัวข้อ: เที่ยวคลองประวัติศาสตร์  (อ่าน 2696 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
nongna
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 1731
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 589
สมาชิก ID: 1301


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 19 : Exp 68%
HP: 0%

สวัสดีค่ะ


« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2011, 05:32:56 pm »

เที่ยวคลองประวัติศาสตร์

เที่ยวคลองประวัติศาสตร์
เจ้าของงานเขียน แก้ไขหน้านี้ ได้ที่นี่
เพิ่งไปชักม้าชมดอกไม้แถวคลองประวัติศาสตร์ของธนบุรีมาค่ะ เลยขอเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไปพบให้ฟังกัน


เริ่มต้นด้วยการนั่งเรือเข้าคลองบางกอกน้อยที่แยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาทางเหนือสถานีรถไฟธนบุรี คลองนี้เดิมคือเส้นทางเก่าของแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ช่วงไหลผ่านสามเสนแล้วไหลเข้าคลองบางกอกน้อย ไปคลองบางขุนศรี (หรือเรียกอีกชื่อว่าคลองชักพระ) แล้วจึงไปออกคลองบางกอกใหญ่ก่อนจะออกปากน้ำไป ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาที่เราคุ้นๆกันอยู่ทุกวันนี้เป็นทางน้ำใหม่ขุดขึ้นมาทีหลัง แล้วเลยกลายเป็นเส้นทางใหญ่ของเจ้าพระยาไปแทน


คลองบางกอกน้อยเป็นแหล่งอยู่อาศัยและค้าขายกันคึกคักมาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่บันทึกไว้ใน นิราศพระประธมว่า


" จนนาวาคลาคล่องเข้าคลองกว้าง ตำบลบางกอกน้อยละห้อยหวน
ตลาดแพแลตลอดเขาทอดพวน แลแต่ล้วนเรือตลาดไม่ขาดคราว "


ถึงตอนนี้บางกอกน้อยก็ยังคึกคัก มีบ้านใหญ่น้อยกับสถานที่ราชการหลายแห่งสองฟากฝั่ง แม้ไม่เหลือแพและเรือนไทยแบบที่สุนทรภู่เคยเห็น แต่วัดหลายแห่งยังคงอยู่เหมือนเมื่อ ๑๕๐ ปีก่อน อย่างวัดสุวรรณาราม ซึ่งมีภาพผนังโบสถ์ฝีมือชั้นเลิศเขียนประชันกัน ระหว่างครูคงแป๊ะและครูทองอยู่ สมัยรัชกาลที่ ๓ อยากจะชวนให้ไปดู แม้เก่าแก่และบางส่วนชำรุดแต่ยังก็เห็นลายเส้นคมชัดน่าชม องค์ประกอบภาพขนาดใหญ่มหึมาเต็มผนัง แต่จัดได้สัดส่วนลงตัวอย่างน่าชม เห็นแล้วก็เห็นด้วยกับคำยกย่องของ น. ณ ปากน้ำ (ประยูร อุลุชาฎะ ศิลปินแห่งชาติ) ถึงฝีมืออันยิ่งใหญ่ของครูทั้งสองท่าน


จากคลองบางกอกใหญ่ นั่งเรือเข้าคลองชักพระ ชื่อคลองมาจากประเพณีชักพระ ในแรม ๒ ค่ำเดือน ๑๒ เรือประดิษฐานพระพุทธรูปจะถูกชักลากจูงจากวัดนางชีไปตามลำน้ำ มุ่งไปทางทิศเหนือออกสู่ปากคลองบางกอกน้อยเลี้ยวขวาไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าคลองบางกอกใหญ่กลับวัดนางชี


เมื่อแยกเข้าไปเรื่อยๆ คลองเล็กลงเท่าไรก็เริ่มมองเห็นชีวิตริมคลองได้มากเท่านั้น น้ำก็เริ่มใสขึ้นกว่าคลองใหญ่ มองเห็นบ้านใหญ่บ้านน้อยมีผู้คนออกมาทำงานในชีวิตประจำวัน ซักผ้า ล้างจานกันที่บันไดท่าน้ำก็มี เดือนนี้น้ำมาก ผ่านบางบ้านที่มีบันไดทอดลงน้ำ เห็นเด็กๆลงมาลอยคอ สาวน้อยนุ่งกระโจมอกเดินอยู่บนนอกชาน


สังเกตอีกอย่างว่าคนไทยว่ายแบบลอยคอนั้นถูกต้องแล้วกับการดำเนินชีวิตแบบไทย เพราะการลงน้ำคือ "เล่นน้ำ" มากกว่าจะ "ว่ายน้ำ" อย่างเดียว คงจำได้ถึงเพลงที่ว่า "...เช้าสายบ่ายเย็น ขวัญลงเล่นกับเรียม" ถ้าว่ายลอยคอจะเห็นหน้าเห็นตากันถนัด ทักทายปราศรัยกันสะดวก หนุ่มสาวว่ายเคียงกันก็คุยกะหนุงกะหนิงกันไปได้ตลอดทาง แต่สมัยนี้เราถูกหัดให้ว่ายแบบฝรั่ง ก้มหน้าจมน้ำ พุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อให้ไปได้เร็ว ถ้าต่างคนต่างว่ายด้วยแล้วก็ยิ่งหมดความโรแมนติกแบบพระเอกนางเอกไทยเดิม


จากนั้นเข้าคลองด่าน สมัยโบราณเป็นคลองสำคัญไปออกแม่น้ำท่าจีนได้ ดร.สุวิชญ์ รัศมิภูติ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และอดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งให้เกียรติมาเป็นวิทยากรในการเที่ยวคลองคราวนี้ เล่าว่าสมัยอยุธยาเมื่อทูตฝรั่งเศสมาเจริญสัมพันธไมตรี ขากลับไม่ได้ไปออกเรือที่ปากน้ำสมุทรปราการอย่างที่คิด แต่ว่านั่งเรือมาเข้าคลองด่าน ไปแม่น้ำท่าจีน แล้วต่อไปทางตะวันตกเพื่อไปลงเรือที่มะริด เพราะเส้นทางลัดกว่าไม่ต้องอ้อมออกอ่าวไทยไปอ้อมแหลมมลายู คลองด่านนี้มาถึงรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี(ทองจีน) เป็นแม่กองขุดซ่อมเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔เพราะเริ่มตื้นเขิน ได้จ้างคนจีนมาขุด ขุดพบไหบรรจุเงิน ๓๐ ชั่งที่บางบอนก็นำมาแบ่งปัน มีวัดสำคัญๆหลายแห่งอยู่ริมคลอง ล้วนแต่มีงานช่างและศิลปะทรงคุณค่า จนคณะรัฐมนตรีลงมติให้อนุรักษ์คลองไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ถึงวัดไทรตอนเที่ยงครึ่ง แวะกินก๋วยเตี๋ยว ช่วงนี้น้ำขึ้นเปี่ยม ดูใสจนมองเห็นขั้นบันไดวัดขั้นที่อยู่ใต้น้ำ น่าลงนั่งเอาเท้าตีน้ำเล่น มองออกว่าน้ำคลองที่ใสจะออกเงาเขียวๆดูสะอาด ผิดกับน้ำสกปรกซึ่งขุ่นเป็นสีโคลน และถ้าสกปรกมากก็ไม่ต้องพูด ดำข้นราวกับน้ำมันดิบเลยละค่ะและยังมีฟองลอยเป็นฝาเสียอีก


ดิฉันขึ้นจากเรือเดินผ่านตำหนักพระเจ้าเสือองค์เดียวกับที่ประหารพันท้ายนรสิงห์ ได้ความจากดร.สุวิญช์ เล่าว่าพระองค์โปรดการมาทรงปลาแถวๆฝั่งธนนี่เอง ล่องเรือพระที่นั่งมาจากอยุธยาก็แวะค้างแรมที่นี่เสียคืนหนึ่ง ตำหนักที่ทางวัดไทรยังรักษาไว้ ทางกรมศิลปากรก็มาซ่อมแซม เห็นลายรดน้ำปิดทองที่ผนังด้านนอกห้องพระบรรทม ยังสวยงามอยู่มาก


กินเสร็จลาวัดไทร ไปวัดราชโอรสาราม วัดประจำรัชกาลที่ ๓ ใครชอบงานก่อสร้างสมัยรัชกาลที่ ๓ แบบไทยปนจีนสวยสดงดงามไม่ควรจะพลาดวัดนี้ ตั้งแต่หลังคาโบสถ์ซึ่งมีหน้าบันแบบจีน ไม่มีช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ หากแต่ใช้กระเบื้องจีนต่างสีประดับแทน จนถึงอับเฉาตุ๊กตาจีนรูปต่างๆในบริเวณ หินที่สลักเป็นตุ๊กตาจีนนี้ได้ความว่าเมื่อขุดขึ้นจากดินใหม่ๆเนื้อจะนิ่ม ตกแต่งเป็นรูปต่างๆได้สะดวก ตั้งทิ้งเอาไว้ก็จะแข็งตัวเป็นหินในภายหลัง นอกจากนี้ทางวัดยังเก็บรักษาพระแท่นหินเก่าแก่ ซึ่งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเคยมาประทับเป็นประจำเมื่อบูรณะวัด


ในพระอุโบสถมีพระบรมฉายาทิสลักษณ์ในรัชกาลที่ ๓ วาดไว้งามวิจิตรราวกับมีชีวิต มีเบื้องหลังว่าช่างเขียนคนนี้ได้รับมอบหมายให้วาดอยู่นานนับปี แต่ก็ไม่ยักลงมือทำ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาก็ลงมือวาดขะมักเขม้น ได้ความว่าเมื่อคืนฝันว่าเสด็จมาหา ทรงเตือนให้วาดเสียที ก็เลยวาดได้จนสำเร็จกลายเป็นภาพตั้งเด่นให้ได้ชมอยู่จนทุกวันนี้


อีกวัดหนึ่งอยู่ฟากตรงข้ามเยื้องไปเล็กน้อยคือวัดนางนอง ไม่คุ้นชื่อมาก่อน วัดนี้เด่นตรงลายกำมะลอ ซึ่งช่างจีนวาดไว้บนผนัง ลายกำมะลอแตกต่างจากลายรดน้ำของไทย ตรงที่เป็นการเขียนทองลงไปบนพื้น ไม่ใช่ปิดทองอย่างลายรดน้ำของไทย ฝีมือช่างจีนนับว่างามมาก มีภาพใหญ่ระหว่างข้างประตูทางเข้า ได้รับคำบอกเล่าว่าเป็นภาพสามก๊ก ดิฉันมองอยู่นานพยายามจะดูให้ออกว่าเป็นใคร ในที่สุดตีความว่าเป็นภาพเล่าปี่ มองเห็นนางกำฮูหยินและนางบิฮูหยินเมียหลวงเมียรองยืนขนาบซ้ายขวา ต่ำลงมาน่าจะเป็นที่ปรึกษาคือบังทองกับขงเบ้ง คนหลังนี้เห็นถือม้วนกระดาษอยู่ คงจะเป็นตำราพิชัยสงครามหรือไม่ก็แผนที่การรบ และต่ำลงมาอีกน่าจะเป็นเตียวหุยหน้าดำกับกวนอูหน้าแดง ถืออาวุธทั้งสองคน เป็นภาพเก่าแก่แต่ยังมองเห็นสีสันและลายเส้นประณีตได้ไม่ลบเลือน


อีกวัดหนึ่งที่ไปแวะคือวัดอัปสรสวรรค์ของเจ้าจอมน้อยในรัชกาลที่ ๓ มีหอไตรกลางน้ำสวยงามประดับกระจกสีระยิบระยับ จนขอเชิญชวนให้ไปดูเสียก่อนปลวกจะขึ้นหมดทั้งหลัง ในอุโบสถแทนที่จะมีพระประธานใหญ่องค์เดียวเหมือนวัดอื่นก็มีพระพุทธรูปเล็กอยู่ ๒๘ องค์ หมายถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ต่างๆในกัปป์ก่อนๆที่เคยมาบังเกิดเพื่อโปรดสัตว์ ตามที่ปรากฎในพระไตรปิฏก


ออกมาสู่คลองบางกอกใหญ่หรือคลองบางหลวง แวะวัดกัลยาณมิตร เป็นวัดของเจ้าพระยานิกรบดินทร์(โต กัลยาณมิตร) ผู้ค้าเรือสำเภาให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ จนร่ำรวยเป็นเจ้าสัว ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มหึมา บริเวณวัดก็กว้างขวางดูโอฬารสมกับเป็นวัดมหาเศรษฐีสร้าง


เราแวะขึ้นบกไปเดินดูโบสถ์ฝรั่งของโรงเรียนซานตาครูส แล้วบุกเข้าไปถึงแหล่งทำขนมฝรั่งกุฎีจีนทางด้านหลัง ได้ขนมกันมาคนละหลายถุงเอาไปฝากคนทางบ้าน ขนมฝรั่งกุฎีจีนนี้เล่ากันมาว่าท้าวทองกีบม้า ภรรยาเจ้าพระยาวิชเยนทร์นำมาเผยแพร่สมัยสมเด็จพระเพทราชา พวกทำขนมเป็นคนไทยเชื้อสายโปรตุเกส อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่แถวนี้ตั้งแต่สร้างกรุง แล้วก็เลยยึดอาชีพทำกันต่อมาจนทุกวันนี้ เป็นขนมคล้ายขนมไข่ ต่างจากเค้กตรงไม่มีเนย


ตอนขึ้นจากเรือไปเดินริมถนน ดิฉันพบว่าเดินริมถนนกับเดินริมน้ำ ในเวลาบ่ายเหมือนกัน และระยะทางเท่ากัน จะร้อนเย็นแตกต่างกันมาก เดินในสวนเลียบคลองจะไม่ร้อนเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนเดินริมถนนคอนกรีต เพราะแผ่นน้ำไม่สะท้อนไอร้อนขึ้นมา แล้วยังได้ลมและไอเย็นจากน้ำ น่าเสียดายการพัฒนาของเราไม่คำนึงถึงข้อนี้เลย


คลองเหล่านี้เป็นคลองประวัติศาสตร์ คณะกรรมการอนุรักษ์คลองแห่งชาติพยายามรักษาไว้ เพื่อไม่ให้คลองถูกถมกันหมด แต่ก็มีเสียงพึมพำว่าคลองเล็กคลองน้อยถูกถมกันไปทีละคลองสองคลอง เวลาทางการขยายถนน ถ้าหากว่าหมดคลองเสียแล้ว ท่อระบายน้ำข้างถนนอาจระบายไม่ทันเวลาน้ำหลาก น้ำก็จะท่วมต่อให้เปิดประตูระบายน้ำอย่างไรก็ตาม


สิ่งที่น่าเสียดายกว่านี้คือเมื่อไม่มีคลอง ความอุดมสมบูรณ์ทางเกษตรก็สูญสิ้นไปด้วย สวนผลไม้ริมคลองตอนนี้สลายตัวกันเกือบหมด ฝั่งธนและเมืองนนท์เคยเป็นสวนทุเรียนอร่อยไม่มีที่ไหนสู้ เพราะดินริมน้ำเป็นปุ๋ยธรรมชาติชั้นยอด ตอนนี้ไม่เหลือร่องรอย สวนถูกตัดขายถมที่กลายเป็นบ้านจัดสรร ส้มบางมดรสชาติหวานแหลมเป็นที่หนึ่งก็ไม่เหลือแล้ว พื้นที่การเกษตรชั้นหนึ่งริมแม่น้ำลำคลอง ถูกเปลี่ยนสภาพตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ๙ ฉบับ ให้พัฒนาตามแบบตะวันตกที่มีถนนเป็นหลัก จนสูญเสียสภาพเกษตรกรรมซึ่งเคยหล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยมานานก่อนได้ชื่อว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาอย่างในปัจจุบัน


ตอนที่เราเที่ยวคลองกันยังเห็นร่องรอยของน้ำท่วมเมื่อปี ๒๕๓๘ ต้นไม้รากไม้ถูกน้ำท่วมตาย จนสวนถูกทิ้งร้างไม่รู้ว่ากี่แห่ง ผู้คนริมคลองก็ผจญกับเสียงเรือหางยาววิ่งขึ้นล่องหนวกหูทั้งกลางวันกลางคืน คลื่นซัดปะทะเขื่อนและดินริมตลิ่งพังลงไปทุกที ช่วงไหนน้ำสกปรกมากเขาก็ต้องดมกลิ่นน้ำครำ ชาวบ้านคนไหนโยกย้ายได้ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะชีวิตริมคลองไม่เอื้ออำนวยความสะดวกให้เขาเหมือนในอดีตเสียแล้ว เหลือแต่วัดต่างๆริมคลอง เป็นมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมอันล้ำค่าควรแก่การบำรุงรักษาต่อไป


เสียดายว่าอีกไม่กี่ปี ลูกหลานเราอาจจะได้เรียนเรื่องคลองจากภาพในหนังสือเท่านั้น

หน้าที่ 2 - เที่ยวคลองประวัติศาสตร์ (ต่อ)
เจ้าของงานเขียน แก้ไขหน้านี้ ได้ที่นี่
เพิ่งไปชักม้าชมดอกไม้แถวคลองประวัติศาสตร์ของธนบุรีมาค่ะ เลยขอเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไปพบให้ฟังกัน


เริ่มต้นด้วยการนั่งเรือเข้าคลองบางกอกน้อยที่แยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาทางเหนือสถานีรถไฟธนบุรี คลองนี้เดิมคือเส้นทางเก่าของแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ช่วงไหลผ่านสามเสนแล้วไหลเข้าคลองบางกอกน้อย ไปคลองบางขุนศรี (หรือเรียกอีกชื่อว่าคลองชักพระ) แล้วจึงไปออกคลองบางกอกใหญ่ก่อนจะออกปากน้ำไป ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาที่เราคุ้นๆกันอยู่ทุกวันนี้เป็นทางน้ำใหม่ขุดขึ้นมาทีหลัง แล้วเลยกลายเป็นเส้นทางใหญ่ของเจ้าพระยาไปแทน


คลองบางกอกน้อยเป็นแหล่งอยู่อาศัยและค้าขายกันคึกคักมาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่บันทึกไว้ใน นิราศพระประธมว่า


" จนนาวาคลาคล่องเข้าคลองกว้าง ตำบลบางกอกน้อยละห้อยหวน
ตลาดแพแลตลอดเขาทอดพวน แลแต่ล้วนเรือตลาดไม่ขาดคราว "


ถึงตอนนี้บางกอกน้อยก็ยังคึกคัก มีบ้านใหญ่น้อยกับสถานที่ราชการหลายแห่งสองฟากฝั่ง แม้ไม่เหลือแพและเรือนไทยแบบที่สุนทรภู่เคยเห็น แต่วัดหลายแห่งยังคงอยู่เหมือนเมื่อ ๑๕๐ ปีก่อน อย่างวัดสุวรรณาราม ซึ่งมีภาพผนังโบสถ์ฝีมือชั้นเลิศเขียนประชันกัน ระหว่างครูคงแป๊ะและครูทองอยู่ สมัยรัชกาลที่ ๓ อยากจะชวนให้ไปดู แม้เก่าแก่และบางส่วนชำรุดแต่ยังก็เห็นลายเส้นคมชัดน่าชม องค์ประกอบภาพขนาดใหญ่มหึมาเต็มผนัง แต่จัดได้สัดส่วนลงตัวอย่างน่าชม เห็นแล้วก็เห็นด้วยกับคำยกย่องของ น. ณ ปากน้ำ (ประยูร อุลุชาฎะ ศิลปินแห่งชาติ) ถึงฝีมืออันยิ่งใหญ่ของครูทั้งสองท่าน


จากคลองบางกอกใหญ่ นั่งเรือเข้าคลองชักพระ ชื่อคลองมาจากประเพณีชักพระ ในแรม ๒ ค่ำเดือน ๑๒ เรือประดิษฐานพระพุทธรูปจะถูกชักลากจูงจากวัดนางชีไปตามลำน้ำ มุ่งไปทางทิศเหนือออกสู่ปากคลองบางกอกน้อยเลี้ยวขวาไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าคลองบางกอกใหญ่กลับวัดนางชี


เมื่อแยกเข้าไปเรื่อยๆ คลองเล็กลงเท่าไรก็เริ่มมองเห็นชีวิตริมคลองได้มากเท่านั้น น้ำก็เริ่มใสขึ้นกว่าคลองใหญ่ มองเห็นบ้านใหญ่บ้านน้อยมีผู้คนออกมาทำงานในชีวิตประจำวัน ซักผ้า ล้างจานกันที่บันไดท่าน้ำก็มี เดือนนี้น้ำมาก ผ่านบางบ้านที่มีบันไดทอดลงน้ำ เห็นเด็กๆลงมาลอยคอ สาวน้อยนุ่งกระโจมอกเดินอยู่บนนอกชาน


สังเกตอีกอย่างว่าคนไทยว่ายแบบลอยคอนั้นถูกต้องแล้วกับการดำเนินชีวิตแบบไทย เพราะการลงน้ำคือ "เล่นน้ำ" มากกว่าจะ "ว่ายน้ำ" อย่างเดียว คงจำได้ถึงเพลงที่ว่า "...เช้าสายบ่ายเย็น ขวัญลงเล่นกับเรียม" ถ้าว่ายลอยคอจะเห็นหน้าเห็นตากันถนัด ทักทายปราศรัยกันสะดวก หนุ่มสาวว่ายเคียงกันก็คุยกะหนุงกะหนิงกันไปได้ตลอดทาง แต่สมัยนี้เราถูกหัดให้ว่ายแบบฝรั่ง ก้มหน้าจมน้ำ พุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อให้ไปได้เร็ว ถ้าต่างคนต่างว่ายด้วยแล้วก็ยิ่งหมดความโรแมนติกแบบพระเอกนางเอกไทยเดิม


จากนั้นเข้าคลองด่าน สมัยโบราณเป็นคลองสำคัญไปออกแม่น้ำท่าจีนได้ ดร.สุวิชญ์ รัศมิภูติ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และอดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งให้เกียรติมาเป็นวิทยากรในการเที่ยวคลองคราวนี้ เล่าว่าสมัยอยุธยาเมื่อทูตฝรั่งเศสมาเจริญสัมพันธไมตรี ขากลับไม่ได้ไปออกเรือที่ปากน้ำสมุทรปราการอย่างที่คิด แต่ว่านั่งเรือมาเข้าคลองด่าน ไปแม่น้ำท่าจีน แล้วต่อไปทางตะวันตกเพื่อไปลงเรือที่มะริด เพราะเส้นทางลัดกว่าไม่ต้องอ้อมออกอ่าวไทยไปอ้อมแหลมมลายู คลองด่านนี้มาถึงรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี(ทองจีน) เป็นแม่กองขุดซ่อมเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔เพราะเริ่มตื้นเขิน ได้จ้างคนจีนมาขุด ขุดพบไหบรรจุเงิน ๓๐ ชั่งที่บางบอนก็นำมาแบ่งปัน มีวัดสำคัญๆหลายแห่งอยู่ริมคลอง ล้วนแต่มีงานช่างและศิลปะทรงคุณค่า จนคณะรัฐมนตรีลงมติให้อนุรักษ์คลองไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ถึงวัดไทรตอนเที่ยงครึ่ง แวะกินก๋วยเตี๋ยว ช่วงนี้น้ำขึ้นเปี่ยม ดูใสจนมองเห็นขั้นบันไดวัดขั้นที่อยู่ใต้น้ำ น่าลงนั่งเอาเท้าตีน้ำเล่น มองออกว่าน้ำคลองที่ใสจะออกเงาเขียวๆดูสะอาด ผิดกับน้ำสกปรกซึ่งขุ่นเป็นสีโคลน และถ้าสกปรกมากก็ไม่ต้องพูด ดำข้นราวกับน้ำมันดิบเลยละค่ะและยังมีฟองลอยเป็นฝาเสียอีก


ดิฉันขึ้นจากเรือเดินผ่านตำหนักพระเจ้าเสือองค์เดียวกับที่ประหารพันท้ายนรสิงห์ ได้ความจากดร.สุวิญช์ เล่าว่าพระองค์โปรดการมาทรงปลาแถวๆฝั่งธนนี่เอง ล่องเรือพระที่นั่งมาจากอยุธยาก็แวะค้างแรมที่นี่เสียคืนหนึ่ง ตำหนักที่ทางวัดไทรยังรักษาไว้ ทางกรมศิลปากรก็มาซ่อมแซม เห็นลายรดน้ำปิดทองที่ผนังด้านนอกห้องพระบรรทม ยังสวยงามอยู่มาก


กินเสร็จลาวัดไทร ไปวัดราชโอรสาราม วัดประจำรัชกาลที่ ๓ ใครชอบงานก่อสร้างสมัยรัชกาลที่ ๓ แบบไทยปนจีนสวยสดงดงามไม่ควรจะพลาดวัดนี้ ตั้งแต่หลังคาโบสถ์ซึ่งมีหน้าบันแบบจีน ไม่มีช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ หากแต่ใช้กระเบื้องจีนต่างสีประดับแทน จนถึงอับเฉาตุ๊กตาจีนรูปต่างๆในบริเวณ หินที่สลักเป็นตุ๊กตาจีนนี้ได้ความว่าเมื่อขุดขึ้นจากดินใหม่ๆเนื้อจะนิ่ม ตกแต่งเป็นรูปต่างๆได้สะดวก ตั้งทิ้งเอาไว้ก็จะแข็งตัวเป็นหินในภายหลัง นอกจากนี้ทางวัดยังเก็บรักษาพระแท่นหินเก่าแก่ ซึ่งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเคยมาประทับเป็นประจำเมื่อบูรณะวัด


ในพระอุโบสถมีพระบรมฉายาทิสลักษณ์ในรัชกาลที่ ๓ วาดไว้งามวิจิตรราวกับมีชีวิต มีเบื้องหลังว่าช่างเขียนคนนี้ได้รับมอบหมายให้วาดอยู่นานนับปี แต่ก็ไม่ยักลงมือทำ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาก็ลงมือวาดขะมักเขม้น ได้ความว่าเมื่อคืนฝันว่าเสด็จมาหา ทรงเตือนให้วาดเสียที ก็เลยวาดได้จนสำเร็จกลายเป็นภาพตั้งเด่นให้ได้ชมอยู่จนทุกวันนี้


อีกวัดหนึ่งอยู่ฟากตรงข้ามเยื้องไปเล็กน้อยคือวัดนางนอง ไม่คุ้นชื่อมาก่อน วัดนี้เด่นตรงลายกำมะลอ ซึ่งช่างจีนวาดไว้บนผนัง ลายกำมะลอแตกต่างจากลายรดน้ำของไทย ตรงที่เป็นการเขียนทองลงไปบนพื้น ไม่ใช่ปิดทองอย่างลายรดน้ำของไทย ฝีมือช่างจีนนับว่างามมาก มีภาพใหญ่ระหว่างข้างประตูทางเข้า ได้รับคำบอกเล่าว่าเป็นภาพสามก๊ก ดิฉันมองอยู่นานพยายามจะดูให้ออกว่าเป็นใคร ในที่สุดตีความว่าเป็นภาพเล่าปี่ มองเห็นนางกำฮูหยินและนางบิฮูหยินเมียหลวงเมียรองยืนขนาบซ้ายขวา ต่ำลงมาน่าจะเป็นที่ปรึกษาคือบังทองกับขงเบ้ง คนหลังนี้เห็นถือม้วนกระดาษอยู่ คงจะเป็นตำราพิชัยสงครามหรือไม่ก็แผนที่การรบ และต่ำลงมาอีกน่าจะเป็นเตียวหุยหน้าดำกับกวนอูหน้าแดง ถืออาวุธทั้งสองคน เป็นภาพเก่าแก่แต่ยังมองเห็นสีสันและลายเส้นประณีตได้ไม่ลบเลือน


อีกวัดหนึ่งที่ไปแวะคือวัดอัปสรสวรรค์ของเจ้าจอมน้อยในรัชกาลที่ ๓ มีหอไตรกลางน้ำสวยงามประดับกระจกสีระยิบระยับ จนขอเชิญชวนให้ไปดูเสียก่อนปลวกจะขึ้นหมดทั้งหลัง ในอุโบสถแทนที่จะมีพระประธานใหญ่องค์เดียวเหมือนวัดอื่นก็มีพระพุทธรูปเล็กอยู่ ๒๘ องค์ หมายถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ต่างๆในกัปป์ก่อนๆที่เคยมาบังเกิดเพื่อโปรดสัตว์ ตามที่ปรากฎในพระไตรปิฏก


ออกมาสู่คลองบางกอกใหญ่หรือคลองบางหลวง แวะวัดกัลยาณมิตร เป็นวัดของเจ้าพระยานิกรบดินทร์(โต กัลยาณมิตร) ผู้ค้าเรือสำเภาให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ จนร่ำรวยเป็นเจ้าสัว ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มหึมา บริเวณวัดก็กว้างขวางดูโอฬารสมกับเป็นวัดมหาเศรษฐีสร้าง


เราแวะขึ้นบกไปเดินดูโบสถ์ฝรั่งของโรงเรียนซานตาครูส แล้วบุกเข้าไปถึงแหล่งทำขนมฝรั่งกุฎีจีนทางด้านหลัง ได้ขนมกันมาคนละหลายถุงเอาไปฝากคนทางบ้าน ขนมฝรั่งกุฎีจีนนี้เล่ากันมาว่าท้าวทองกีบม้า ภรรยาเจ้าพระยาวิชเยนทร์นำมาเผยแพร่สมัยสมเด็จพระเพทราชา พวกทำขนมเป็นคนไทยเชื้อสายโปรตุเกส อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่แถวนี้ตั้งแต่สร้างกรุง แล้วก็เลยยึดอาชีพทำกันต่อมาจนทุกวันนี้ เป็นขนมคล้ายขนมไข่ ต่างจากเค้กตรงไม่มีเนย


ตอนขึ้นจากเรือไปเดินริมถนน ดิฉันพบว่าเดินริมถนนกับเดินริมน้ำ ในเวลาบ่ายเหมือนกัน และระยะทางเท่ากัน จะร้อนเย็นแตกต่างกันมาก เดินในสวนเลียบคลองจะไม่ร้อนเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนเดินริมถนนคอนกรีต เพราะแผ่นน้ำไม่สะท้อนไอร้อนขึ้นมา แล้วยังได้ลมและไอเย็นจากน้ำ น่าเสียดายการพัฒนาของเราไม่คำนึงถึงข้อนี้เลย


คลองเหล่านี้เป็นคลองประวัติศาสตร์ คณะกรรมการอนุรักษ์คลองแห่งชาติพยายามรักษาไว้ เพื่อไม่ให้คลองถูกถมกันหมด แต่ก็มีเสียงพึมพำว่าคลองเล็กคลองน้อยถูกถมกันไปทีละคลองสองคลอง เวลาทางการขยายถนน ถ้าหากว่าหมดคลองเสียแล้ว ท่อระบายน้ำข้างถนนอาจระบายไม่ทันเวลาน้ำหลาก น้ำก็จะท่วมต่อให้เปิดประตูระบายน้ำอย่างไรก็ตาม


สิ่งที่น่าเสียดายกว่านี้คือเมื่อไม่มีคลอง ความอุดมสมบูรณ์ทางเกษตรก็สูญสิ้นไปด้วย สวนผลไม้ริมคลองตอนนี้สลายตัวกันเกือบหมด ฝั่งธนและเมืองนนท์เคยเป็นสวนทุเรียนอร่อยไม่มีที่ไหนสู้ เพราะดินริมน้ำเป็นปุ๋ยธรรมชาติชั้นยอด ตอนนี้ไม่เหลือร่องรอย สวนถูกตัดขายถมที่กลายเป็นบ้านจัดสรร ส้มบางมดรสชาติหวานแหลมเป็นที่หนึ่งก็ไม่เหลือแล้ว พื้นที่การเกษตรชั้นหนึ่งริมแม่น้ำลำคลอง ถูกเปลี่ยนสภาพตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ๙ ฉบับ ให้พัฒนาตามแบบตะวันตกที่มีถนนเป็นหลัก จนสูญเสียสภาพเกษตรกรรมซึ่งเคยหล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยมานานก่อนได้ชื่อว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาอย่างในปัจจุบัน


ตอนที่เราเที่ยวคลองกันยังเห็นร่องรอยของน้ำท่วมเมื่อปี ๒๕๓๘ ต้นไม้รากไม้ถูกน้ำท่วมตาย จนสวนถูกทิ้งร้างไม่รู้ว่ากี่แห่ง ผู้คนริมคลองก็ผจญกับเสียงเรือหางยาววิ่งขึ้นล่องหนวกหูทั้งกลางวันกลางคืน คลื่นซัดปะทะเขื่อนและดินริมตลิ่งพังลงไปทุกที ช่วงไหนน้ำสกปรกมากเขาก็ต้องดมกลิ่นน้ำครำ ชาวบ้านคนไหนโยกย้ายได้ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะชีวิตริมคลองไม่เอื้ออำนวยความสะดวกให้เขาเหมือนในอดีตเสียแล้ว เหลือแต่วัดต่างๆริมคลอง เป็นมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมอันล้ำค่าควรแก่การบำรุงรักษาต่อไป

เสียดายว่าอีกไม่กี่ปี ลูกหลานเราอาจจะได้เรียนเรื่องคลองจากภาพในหนังสือเท่านั้น

*หมายเหตุ งานเขียนชิ้นนี้ ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิทางปัญญา โดยลิขสิทธิเป็นของผู้เขียน ที่ให้เกียรตินำเผยแพร่ผ่าน วิชาการ.คอม เรามีความยินดีและอนุญาตให้ทำซ้ำหรือเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น กรุณาให้เกียรติผู้เขียน โดยอ้างชื่อผู้เขียนและแหล่งข้อมูลทุกครั้งที่ทำการเผยแพร่ต่อ ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อในสื่อที่เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจก่อนได้รับอนุญาต ขอขอบคุณที่ร่วมกันช่วยสร้างให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งปัญญา
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า

สวัสดีค่ะคุณผู้เยี่ยมชมยินดีที่ได้รู้จักนะคะ
หน้า: [1]
 
 
กระโดดไป:  






Saisampan.net
สายสัมพันธ์ - เพลงลูกทุ่งเก่า (เก่ากว่าที่ท่านคิด)
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!