"โรงเรียนบนหลังคา" สิทธิพลเมืองชั้นสองของลูกแรงงานต่างถิ่น
พิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา ของเหล่าลูกแรงงานต่างถิ่น เด็กนักเรียนของโรงเรียนประถมหลิงจื้อ
อาจจะดูคับแคบไปสักหน่อย เนื่องจากโรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าเล็กๆ ของอาคารที่พักอาศัย
แห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย แต่กระนั้นโรงเรียนเอกชนเล็กๆ แห่งนี้ก็ยืนหยัดผ่านร้อนผ่านหนาว
มาแล้วถึง 12 ปีเต็ม (ภาพ เฟิ่งหวง) เฟิ่งหวง - โรงเรียนประถมหลิงจื้อ เป็นโรงเรียนเอกชนสำหรับบรรดาลูกหลานแรงงานอพยพ
ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2542 โดยทำการเช่าอาคารสี่ชั้นเล็กๆ แห่งหนึ่งในย่านพักอาศัยเพื่อใช้ในการเรียน
การสอน โดยปรับเปลี่ยนห้องพักแต่ละห้องให้เป็นห้องเรียน ส่วนดาดฟ้าที่เดิมมีไว้เพื่อให้ผู้เช่าตากเสื้อผ้า
ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นลานกิจกรรมและที่ออกกำลังกายของเด็กๆ ทำให้คนละแวกนั้นรู้จักโรงเรียนแห่งนี้
ในอีกชื่อหนึ่งว่า "โรงเรียนบนหลังคา"
เมื่อถึงเวลานอนกลางวัน ก็ต้องนอนเรียงซ้อนกันเหมือนปลาในเข่งปลาทู (ภาพ เฟิ่งหวง) จากการที่สื่อได้สัมภาษณ์ครูแซ่หวง ซึ่งเป็นคุณครูคนหนึ่งในโรงเรียนหลิงจื้อแห่งนี้ได้ความว่า
ปัจจุบันโรงเรียนประถมหลิงจื้อมีครูทั้งหมด 18 คน มีนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6
รวมทั้งหมด 400 คน และนักเรียนชั้นอนุบาลอีก 1 ห้อง โดยห้องเรียนจะกระจายอยู่ในชั้นต่างๆ บนอาคาร
ที่มีพื้นที่ห้องแคบ-กว้างไม่เท่ากัน แต่ส่วนใหญ่จะคับแคบ บางห้องนักเรียน 30 กว่าคนอัดกันอยู่ในห้อง
ขนาด 20 กว่าตางรางเมตร บางห้องนักเรียน 5 คนต้องนั่งเรียนรวมกันบนโต๊ะเรียนเพียง 2 ตัวเท่านั้น
ทั้งนี้นักเรียนของโรงเรียนหลิงจื้อล้วนเป็นลูกๆ ของบรรดาแรงงานอพยพแทบทั้งสิ้น ส่วนการขยับขยาย
โรงเรียนหรือย้ายไปเช่าพื้นที่อื่นนั้น ทางโรงเรียนกล่าวว่าค่อนข้างยากเพราะติดปัญหาเรื่องการขอ
อนุญาตเปิดการเรียนการสอน รวมทั้งใบรับรองกรรมสิทธิ์เช่าอาคาร ดังนั้นโรงเรียนหลิงจื้อ
จึงดำเนินกิจการอยู่ที่นี่มาถึง 12 ปีแล้ว
เมื่อภาพโรงเรียนแห่งนี้ถูกเผยแพร่ออกไปตามสื่อและเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ ในประเทศจีน
เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงสิทธิของกลุ่มแรงงานอพยพเหล่านี้ เพราะ
ขณะที่พวกเขาเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนยุคนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ ทว่า
พวกเขากลับกลายเป็นพลเมืองชั้นสองของเมืองที่พวกเขาไปทำงานและอาศัยอยู่
"12 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ในการเปลี่ยนแปลง(โรงเรียน)ให้ดีขึ้น แต่กลับไม่ทำ
อะไรเลย เด็กเหล่านี้ช่างน่าสงสารจริงๆ" ชาวเน็ตผู้หนึ่งกล่าว [/color]
เด็กนักเรียน 5 คนต่อโต๊ะเรียน 2 ตัว คือสัดส่วนปกติของโรงเรียนแห่งนี้ (ภาพ เฟิ่งหวง) แรงงานอพยพเป็นปรากฎการณ์ทางสังคมเฉพาะตัวของประเทศจีน ด้วยเหตุผลด้านเศรษฐกิจ
และการเมือง ประเทศจีนหลังการปฏิวัติจีนใหม่โดยพรรคคอมมิวนิสต์ ได้กำหนดวิธีการต่างๆเพื่อ
สกัดการเคลื่อนย้ายประชากรสู่เมืองต่างๆนับจากปี 2495 และสำมะโนครัว หรือที่จีนเรียก ‘ฮู่โข่ว’
ก็เป็นหนึ่งในวิธีการเหล่านี้ ฮู่โข่วกำหนดให้พลเมืองอาศัยอยู่ในภูมิลำเนาของตนเท่านั้น และจะได้
รับสิทธิประโยชน์จากรัฐ อาทิ ประกันสังคม จากเขตการปกครองที่ขึ้นทะเบียนฮู่โข่วเท่านั้น
นับการปฏิรูปเศรษฐกิจในต้นทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้ผ่อนปรนกฎเหล็กว่าด้วย
การโยกย้ายที่อยู่อาศัยของประชากร แม้จะมีการหวนกลับมาเข้มงวดในบางช่วงก็ตาม กลุ่มประชากร
จากเขตชนบทที่ยากจนก็ยังหลั่งไหลสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษโดยเฉพาะตามชายฝั่ง เพื่อทำงานและ
สร้างอนาคตที่ดีกว่า ปัจจุบันในประเทศจีนมีกลุ่มแรงงานอพยพมากถึง 103 ล้านคน และปัญหาหนึ่ง
ที่ตามมาคือ ด้วยข้อจำกัดฮู่โข่ว แรงงานอพยพเหล่านี้ไม่มีสิทธิรับสิทธิประโยชน์ใดๆจากเมืองที่
พวกเขาเข้ามาอาศัยอยู่เพื่อทำงาน พวกเขาจึงไม่ผิดกับ ‘พลเมืองชั้นสอง’ของเมืองใหญ่ที่อาศัยอยู่
ขณะนี้มีคาดการณ์ว่า ในปี 2568 อีก หรืออีก 14 ปีข้างหน้า จีนจะมีกลุ่มแรงงานอพยพถึง 243 ล้านคน
เนื่องจากพื้นที่คับแคบ เด็กๆ จึงต้องอัดกันเป็นปลากระป๋อง(ภาพ เฟิ่งหวง) พื้นที่ดาดฟ้า อันเป็นลานกิจกรรมทุกอย่างของโรงเรียน(ภาพ เฟิ่งหวง) ครูคนหนึ่งกำลังตรวจการบ้าน ขณะที่อีกฟากของผนังบางที่กั้นอยู่ เหล่านักเรียนกำลังเรียนวิชาถัดไปกับครูอีกคน(ภาพ เฟิ่งหวง) คุณครูนำเหล่าเด็กนักเรียนออกกำลังบนลานกิจกรรมแห่งเดียวของโรงเรียน(ภาพ เฟิ่งหวง) บรรเลงขลุ่ย-ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี-โรงเรียนของหนู