tanay2507
ปลดออกจากสมาชิก
คำขอบคุณ: 5543
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 1931
สมาชิก ID: 27
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 35 : Exp 73%
HP: 0%
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2009, 08:57:13 pm » |
|
เพลงของรอยและ The Ten Kings ที่ติดอันดับยอดนิยมระดับชาติเป็นเพลงแรกมีชื่อว่า Ooby Dooby โดยติดอยู่ในอันดับที่ 59 ของชาร์ตนี้ในปี 1956 ต่อมาวง The Ten Kings ก็แตกเมื่อเดือนธันวาคม ของปี 1956 เพราะเมื่อเป็นธุรกิจแล้ว ความเป็นมืออาชีพของศิลปินก็เริ่มกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ทำให้วง The Ten Kings แตกสลายลง ตัวของรอยเองนั้นเขามีทักษะทางด้านการแต่งเพลงอยู่แล้ว เขาจึงเดินหน้าต่อในธุรกิจนี้ด้วยการพัฒนาฝีมือการแต่งเพลงของเขาขึ้นมาอีก และใช้นักดนตรีรับจ้างในสตูดิโอเล่นเป็นแบ็คอัพให้ในการบันทึกแผ่นเสียงให้ กับซัน เร็คคอร์ด แต่ดูเหมือนว่า ดวงของรอยในช่วงนั้นจะไปได้ดีกับอาชีพนักแต่งเพลงมากกว่านักดนตรีหรือนัก ร้อง (เหตุผลส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าเขา ‘หล่อแต่เสียง’ ด้วยจึงไม่ดังบนเวที) บ็อบ เนล ผู้จัดการของรอยแนะนำให้เขารู้จักกับวง The Everly Brothers ในโอกาสที่วงนี้เข้ามาทำการแสดงที่เมืองแฮมมอนด์, มลรัฐอินเดียน่า ในปี 1958 ซึ่งเป็นช่วงที่วงดิ เอฟเวอรี่ บราเธอร์กำลังต้องการเพลงใหม่สำหรับบันทึกเสียงพอดี รอยจึงเสนอเพลง Claudette ที่เขาแต่งเอาไว้ให้กับวงดิ เอฟเวอรี่ บราเธอร์ไป ซึ่งเพลง Claudette นี้ได้ถูกบรรจุอยู่ในหน้า B ของแผ่นซิงเกิ้ลของคณะ ดิ เอฟเวอรี่ บราเธอร์ ที่ออกในเดือนมีนาคมปี 1958 ประกบกับเพลง All I Have To Do Is Dream ที่อยู่บนหน้า A ของแผ่นนี้ ปรากฏว่าเพลง All I Have To Do Is Dream ติดอันดับ 1 ส่วนเพลง Claudette ขึ้นมาได้แค่อันดับ 30 ของชาร์ตเท่านั้น หลังจากนั้น เพลงนี้ก็ได้ถูกศิลปินดังๆ หลายคน อาทิ Buddy Holly, Jerry Lee Lewis และ Rick Nelson นำไปบันทึกเสียงใหม่ด้วย
ช่วงนั้น Roy Orbison ได้รับติดต่อให้เข้าทำงานกับ Chet Atkins ในสังกัด RCA Victor ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะย้ายไปทำสัญญากับสังกัด Monument Records ช่วงกลางปี 1959 หลังจากหมดสัญญากับสังกัดอาร์ซีเอ วิคเตอร์ จากนั้นรอยก็หวนกลับมาที่เท็กซัสอีกครั้งและได้ร่วมเขียนเพลงที่ชื่อว่า Uptown ร่วมกับ Joe Melson ซึ่งได้ถูกบันทึกลงแผ่นเสียงตอนช่วงปลายของปี 1959 ซึ่งเพลงนี้เองที่ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการเพลงคันทรี่ เพราะรอยได้เลือกใช้เสียงสตริงเครื่องสายเข้ามาแทนที่เสียงไวโอลิน ซึ่งเป็น sound ที่ไม่เคยมีใครในแนชวิลได้ยินแบบนั้นมาก่อน ส่งผลให้ยอดขายของเพลงนี้ดีกว่าเพลง Ooby Dooby ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลแรกของเขาซะอีก (เพลงนี้สามารถทยานขึ้นไปติดอยู่ในอันดับที่ 50 ของชาร์ต Hot 100 ของอเมริกา)
เพลงที่คุณจะได้ยินเสียงสตริงชัดเจนที่สุดก็คือเพลง Only The Lonely ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลลำดับที่สามที่เกิดจากมันสมองของเขาร่วมกับโจ เมลสัน และเพลงนี้ก็เป็นเพลงแรกที่รอยและเฟรด ฟอสเตอร์ เจ้าของค่าย Monument Records ตัดสินใจทดลองใช้เสียงของรอยเองเป็นคนร้องเพลงนี้เป็นเวอร์ชั่นแรก ซึ่งสมัยนั้นเป็นยุคของการ ‘ขายเสียง’ โดยเฉพาะคล้ายยุคของสุเทพ, ชรินทร์ ในบ้านเรา ซึ่งการที่จะเกิดศิลปินนักร้องใหม่ๆ ขึ้นมาในวงการนั้นไม่ใช้เรื่องง่าย และส่วนใหญ่ของนักแต่งเพลงก็มักจะเสียงไม่ดีพอที่จะร้องเพลงได้ ดังนั้น นักแต่งเพลงจึงต้องอาศัยเสียงของนักร้องดังๆ เป็นคนสร้างชื่อเสียงให้กับงานเพลงที่ตนแต่งขึ้นมา เผอิญว่า เพลง Only The Lonely เกิด ดังระเบิด สามารถทยานขึ้นไปติดอยู่บนชาร์ตของ Billboard ได้สูงถึงลำดับที่ 2 และเข้าไปติดในชาร์ตเพลงยอดนิยมอันดับ 1 ของอังกฤษด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความยอมรับในน้ำเสียงของนักร้องใหม่อย่าง Roy Orbison ง่ายขึ้น เนื่องจากน้ำเสียงของเขาไม่ได้ดีเด่นเหมือนนักร้องดังๆ ในยุคนั้นอย่างเช่น Elvis Plesley หรือ Johnny Horton ทำให้ซิงเกิ้ลใหม่ที่ออกตามหลังมาอีกสองเพลงคือ Blue Angel และ I’m Hurtin’ ซึ่งก็อปปี้รูปแบบมาจากเพลงออนลี่ เดอะ โลนลี่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร นั่นเป็นสัญญาณที่รอยและคู่หู Joe Melson รู้ว่าพวกเขาจะต้องมองหาอะไรใหม่ๆ มาขายเพิ่มขึ้นแล้ว
ความสำเร็จชนิดพลิกโผถล่มทลายได้เกิดขึ้นกับรอย ออบิสันอีกครั้งหลังจากที่เขาวางแผงเพลง Running Scared และทำให้มันสามารถไต่ขึ้นไปสู่ความนิยมสูงสุดถึงอันดับ 1 ในอเมริกาเป็นครั้งแรกสำหรับเขา พูดได้ว่าความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นจากแรงกดดันโดยแท้ ซึ่งองค์ประกอบที่ช่วยให้เพลงนี้ดังเป็นพลุแตกนั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ สิ่งแรกคือตัวเพลงเอง มันเป็นเพลงที่มีโครงสร้างการเรียบเรียงดนตรีที่แปลกใหม่สำหรับยุคนั้นและ ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการเรียบเรียงดนตรีลักษณะนั้นออกมา ปัจจัยที่สองก็คือโปรดักชั่นของเพลงนี้ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นโชคดีของรอยที่ได้รับการสนับสนุนจาก Fred Foster เจ้าของค่ายเพลงโมนูเม้นต์ เร็คคอร์ดที่ให้ทุนสนับสนุนทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเพลงจะดังหรือเปล่า? องค์ประกอบที่สามที่ทำให้เพลงนี้ดังระเบิดก็คือการแสดงบนเวทีของรอยเอง ซึ่งถือว่ารายการทีวีเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลต่อผู้คนในยุคนั้นมาก และเพลงนี้ก็ได้ถูกนำออกแสดงค่อนข้างถี่ ด้วยแรงสนับสนุนของเฟรด ฟอสเตอร์
หลังจากนั้นก็เหมือนกับทำนบแตก ชื่อเสียงได้หลั่งไหลเข้าหา Roy อย่างมากมาย ทำให้แต่ละเพลงที่ออกมาหลังจากนั้นอาทิเช่น Crying, Candy Man, Dream Baby, Working for the Man, Leah, In Dreams, Pretty Paper, Blue Bayou, Mean Woman Blues และ It’s Over ดังติดลมบนเข้าไปอัดแน่นอยู่ในชาร์ต American’s Top 40 เต็มไปหมดในช่วงเวลาถึงสี่ปีต่อจากนั้นมา ซึ่งถือว่าเป็นช่วงทองของรอย ออบิสันอย่างแท้จริง
ในปี 1963 พร้อมๆ กับความสำเร็จของเพลง In Dreams นั้น Wesley Rose ผู้จัดการส่วนตัวของรอยในขณะนั้นได้ตัดสินใจรับเชิญไปร่วมแสดงคอนเสิร์ตประกบกับวง The Beatles ในอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้น The Beatles ยังไม่เป็นที่รู้จักในอเมริกา ในอังกฤษนั้นชื่อเสียงของรอยจะดังแค่ไหนก็ไม่ทราบได้ แต่ตั๋วคอนเสิร์ตครั้งนั้นถูกขายหมดเพียงแค่วันแรกที่เริ่มเปิดขายเท่านั้น เอง คิวการแสดงบนเวทีนั้น Roy Orbison จะต้องเล่นก่อนแล้วตามด้วยการแสดงของวง The Beatles ซึ่งในการแสดงรอบแรกของเขานั้น Roy ต้องออกมาร้อง encore ถึง 14 ครั้ง! คนดูถึงจะยอมให้วงเดอะ บีทเทิ้ลส์ขึ้นทำการแสดงต่อ
ในยุคที่เพลงจากเกาะอังกฤษบุกเข้าไปสร้างความนิยมในอเมริกา (เรียกว่ายุค British Invasion หรือยุคเพลงอังกฤษครองเมือง) นั้น มีวงดนตรีสายเลือดอเมริกันน้อยมากที่จะสามารถยืนหยัดต้านกระแสนี้ได้ Roy Orbison คือหนึ่งในไม่กี่วงนั้นที่สามารถทำได้และไม่เพียงแค่ยืนหยัดอยู่เท่านั้น แต่ยังสามารถเพิ่มพูนความนิยมให้มากขึ้นได้ด้วย
นอกจากเพลง Only The Lonely แล้ว ยังมีเพลงดังมากๆ ของรอย ออบิสันอยู่อีกเพลงหนึ่ง ที่พูดได้ว่าเป็นเหมือนรายเซ็นของเขา คือได้ยินเพลงนี้แล้วต้องนึกถึงผู้ชายใส่แว่นดำเสมอ นั่นคือเพลง Oh Pretty Woman ซึ่งเป็นเพลงที่ถูกบันทึกเสียงเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ปี 1964 เป็นผลงานเพลงที่รอยแต่งร่วมกับ Bill Dees ซึ่งเป็นคู่หูแต่งเพลงคนใหม่ของเขา และด้วยความดังระดับมหากาฬของเพลงนี้ มันได้ถูกยกย่องว่าเป็นเพลงร็อคแอนด์โรลที่ยิ่งใหญ่และเป็นเพลงที่มีคน รู้จักมากที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เพลงร็อคเคยบันทึกมา เพลงนี้ถูกปั๊มออกขายในประเทศอเมริกาเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1964 และในอังกฤษเดือนกันยายน ปีเดียวกัน สามารถขึ้นไปติดชาร์ตความนิยมถึงอันดับ 1 ได้ในทุกเมืองทั่วโลกที่เพลงนี้เดินทางไปถึง และเป็นเพลงที่ทำยอดจำหน่ายแผ่นได้สูงสุดเป็นประวัติกาล คือมากกว่า 7 ล้านก็อปปี้ในปีเดียวกันนั้น (1964)
หลังจากนั้น รอยก็ออกเดินทางไปเปิดแสดงคอนเสิร์ตร่วมกับศิลปินดังๆ อย่าง The Beach Boys ในปี 1964, กับวง The Rolling Stones ในปี 1965 ทั้งในยุโรป, ออสเตรเลีย และในอเมริกาถี่ขึ้น
เมื่อมีขึ้นก็ย่อมมีลง นั่นเป็นสัจจะธรรม หลังผ่านพ้นช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตมาแล้ว เมฆดำก็เริ่มคืบคลานเข้าครอบงำชีวิตของรอย ออบิสันและได้ทิ้งคราบแห่งความหมองคล้ำเอาไว้ให้กับรอยทั้งทางด้านงานและ ชีวิตส่วนตัว เริ่มด้วย Claudette ภรรยาสุดที่รักของเขาที่แต่งงานอยู่กินกันมาตั้งแต่ปี 1957 เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1966 ก่อนที่ลูกชายสองในสามคนของเขาจะเสียชีวิตในกองเพลิงที่ไหม้บ้านของเขาเองใน แฮนเดอร์สันวิล รัฐเทนเนสซี่ ในอีกสองปีถัดมา
|