ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
เมษายน 19, 2024, 08:39:42 AM

 


  หน้าแรก  • ช่วยเหลือ  • ค้นหา  • เข้าสู่ระบบ  • สมัครสมาชิก



สถานีวิทยุออนไลน์
สายสัมพันธ์





ท่านสามารถขอเพลงฟังได้
ที่กล่องขอเพลงด้านซ้ายมือ
แต่อาจไม่ได้รับฟังทุกเพลง
เนื่องจากจะรองรับเพลงตามขอ
ของสมาชิกภายในก่อน
หน้า: 1 [2] 3
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ทศชาติชาดก -มโหสถบันฑิตย์  (อ่าน 25000 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #15 เมื่อ: ตุลาคม 05, 2010, 06:44:21 PM »

ต่อจากตอนที่แล้ว
   ต่อนี้ไป  เป็นเรื่องแสดงปัญญาบารมีของมโหสถในตอนที่เป็นเสนาบดีแล้วอีกหลายเรื่อง  กล่าวคือ  อยู่มาวันหนึ่ง  สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชเสด็จออกไปประพาสพระราชอุทยาน  พร้อมกับมโหสถกุมาร  มีกิ้งก่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ปลายเสาใต้ริมประตูพระราชอุทยาน  พอกิ้งก่าตัวนั้นได้เห็นพระมหากษัตริย์เสด็จมา  ก็ลงจากปลายเสาใต้หมอบอยู่กับพื้นดิน  พอพระภูมินทราธิบดีได้ทอดพระเนตรเห็นกิริยากิ้งก่านั้นแล้ว  จึงตรัสถามพระมโหสถว่า  ดูก่อนบัณฑิต  กิ้งก่านั้นมันทำอะไร  พระมโหสถกราบทูลว่าขอพระราชทาน  กิ้งก่าตัวนี้มีความประสงค์จะเป็นข้าเฝ้าของพระองค์  จึงตรัสสั่งว่า  ถ้าอย่างนั้นจงจัดแจงทรัพย์พระราชทานให้มัน  กราบทูลว่า  อันธรรมดาสัตว์ดิรัจฉานย่อมไม่ต้องการสมบัติพัสฐาน  มันต้องการแต่เพียงของกินเท่านั้น  จึงตรัสถามว่า  ก็ธรรมดากิ้งก่ามันกินอะไรเล่า  กราบทูลว่ามันกินเนื้อพระเจ้าข้า  จึงตรัสสั่งว่า  ถ้าอย่างนั้น  เราจะให้ทรัพย์เป็นค่าเนื้อแก่กิ้งก่าวันละกึ่งมาสก  ครั้นตรัสสั่งแล้ว  ก็ทรงตั้งบุรุษผู้หนึ่งไว้สำหรับให้เป็นคนซื้อเนื้อให้กิ้งก่าตัวนั้นทุกวนไป  อยู่มาวันหนึ่ง  เป็นวันอุโบสถ  ไม่มีผู้ใดฆ่าเนื้อและปลาไปขายในตลาด  บุรุษผู้นั้นก็ไม่สามารถที่จะหาซื้อเนื้อไปให้กิ้งก่านั้นได้  ครั้นจะเก็บค่าเนื้อไว้  ก็เกรงพระราชอาญาว่า  ยักยอกของหลวง  จึงเอาทรัพย์กึ่งมาสกนั้นไปผูกคอกิ้งก่าไว้  เช้าขึ้นสมเด็จพระเจ้าวิเทหราชก็เสด็จออกไปประพาสพระราชอุทยานอีก  พอกิ้งก่าตัวนั้นแลเห็นก็ไม่ลงไปถวายบังคม  ด้วยมีมานะว่า  เรามีทรัพย์เหมือนกันกับพระมหากษัตริย์  ได้แต่ชูศีรษะผงกอยู่บนเสา  พระมหากษัตริย์ได้ทอดพระเนตรเห็นกิริยากิ้งก่านั้นแล้ว  จึงตรัสถามพระมโหสถว่า  อย่างไรมโหสถ  กิ้งก่าตัวนี้จึงไม่ลงมาถวายบังคมเราเหมือนเมื่อก่อนเล่า พระพุทธเจ้าข้า  เพราะกิ้งก่าตัวนี้เป็นชาติต่ำช้า  คงมีมานะขึ้นด้วยเหตุในเหตุหนึ่ง  ครั้นกราบทูลแล้วจึงพิจารณาดู  ก็เห็นทรัพย์กึ่งมาสกผูกติดคออยู่กับคอกิ้งก่า  จึงกราบทูลให้ทรงทราบ  พระมหากษัตริย์ก็กริ้วว่า  ขอพระราชทานธรรมดาสัตว์ดิรัจฉานย่อมไม่รู้สึกผิดถูก  หนักเบา  ขออย่าได้ลงพระราชอาญาแก่มันเลย  เพียงแต่โปรดให้งดจ่ายพระราชทรัพย์ให้เป็นค่าเนื้อแก่มันเท่านั้นก็พอ  พระมหากษัตริย์เจ้าก็ทรงอนุมัติตาม  โปรดให้ตัดค่าอาหารของกิ้งก่านั้นเสีย  จบเรื่องปัญหากิ้งก่าแต่เท่านี้  อันนี้แหละที่โบราณได้ผูกเป็นสุภาษิตไว้ว่า  กิ้งก่าได้ทอง
อ่านต่อพรุ่งนี้
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #16 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 07:19:00 PM »

ต่อจากตอนที่แล้ว
   อเถโก  มิถิลวาสี  ปิงฺคุตฺตโร  นาม  มาณโว  ต่อไปนี้เป็นเรื่องนางอุทุมพร  จักได้เป็นอัครมเหสีของจอมอดิสรวิเทหราช  มีเรื่องมาว่าครั้นต่อมามีมาณพคนหนึ่งชื่อว่า  ปิงคุตตรมาณพ  ซึ่งเป็นชาวเมืองมิถิลา  ได้ไปศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักทิศาปาโมกขอาจารย์  เมืองตักกสิลา  ได้เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของอาจารย์นั้นด้วย    ครั้นสำเร็จการศึกษาแล้ว  ทิศาปาโมกขอาจารย์ก็ยกธิดาผู้ใหญ่ของตน  ให้เป็นภรรยาแห่งปิงคุตตรมาณพนั้นตามทำเนียมของทิศาปาโมกขอาจารย์  คือ  ทำเนียมของทิศาปาโมกขอาจารย์นั้นมีอยู่ว่า  ถ้ามีธิดาแล้วต้องยกให้เป็นภรรยาแห่งศิษย์ผู้ใหญ่นั้นเสมอไป  ก็ธิดาแห่งทิศาปาโมกข์คนนั้น  เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ  จรรยาสมบัติ  พระบุญญาภินิหารอันได้สะสมอบรมมาเป็นอันมาก  ส่วนปิงคุตตรมาณพนั้นเป็นแต่ผู้มีศิลปวิทยาเท่านั้น  ไม่ใช่เป็นผู้มีบุญวาสนามาก  เพราะฉะนั้นนับแต่เวลาที่อาจารย์ยกลูกสาวให้เป็นภรรยาแล้ว  ก็ให้เกลียดนางนั้นยิ่งนัก  ในเวลาจะเข้านอนก็ไม่ร่วมกับนาง  ถ้านางขึ้นไปนอนบนเตียง  มาณพนั้นก็เลี่ยงลงมานอนเสียข้างล่าง  ครั้นนางตามลงมาข้างล่าง  ก็เลี่ยงขึ้นไปเสียบนเตียง  เมื่อนางตามขึ้นไปบนเตียง  ก็เลี่ยงลงมาเสียข้างล่าง  เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดถึง 7 วัน  ครั้นครบ 7 วันแล้ว มาณพนั้นก็อำลาอาจารย์พานางนั้นออกจากเมืองตักกสิลา  เพื่อจักกลับมายังเมืองมิถิลา  อันเป็นบ้านเมืองของตน  ในเวลาที่เดินทางมาซึ่งกินเวลาหลายวันหลายคืนนั้น มาณพนั้นจะได้พูดจากับนางนั้นแม้แต่สักคำหนึ่งก็หามิได้  แต่ที่รับมาด้วยนั้น  ก็เพราะเกรงกลัวอาจารย์ ครั้นมาถึงใกล้เมืองมิถิลาได้เห็นต้นมะเดื่อซึ่งมีผลอันสุกอยู่ต้นหนึ่ง จึงขึ้นไปเก็บกินมะเดื่อตามสบาย  ฝ่ายนางก็ร้องขอขึ้นไปว่า  ขอจงทิ้งมะเดื่อลงมาให้ดิฉันรับประทานบ้างเถิด  ข้างบุรุษนั้นก็ตอบลงมาว่า  มือเท้าของแกไม่มีหรือ  จึงไม่ขึ้นมาเก็บกินเอง  นางนั้นก็ขัดใจขึ้นมา  จึงพยายามปีนป่ายขึ้นไปบนต้นมะเดื่อ  เมื่อมาณพนั้นได้ช่อง  จึงค่อยๆย่องลงมาแล้วหาเรียวหนามมาสะโคนต้นมะเดื่อเสีย  เพื่อไม่ให้นางลงมาได้  จึงร้องตะโกนออกไปว่า  ที่นี้เราพ้นทุกพ้นร้อนแล้ว  ว่าแล้วก็เดินหนีไปโดยเร็วพลัน  ฝ่ายนางนั้นก็นั่งร้องไห้อยู่บนต้นมะเดื่อน่าเวทนา  ด้วยจะลงมาก็ลงไม่ได้เพราะติดเรียวหนาม
   ตํ  ทิวสํ  ราชา  อุยฺยานํ  คจฺฉนฺโต  ในวันนั้นสมเด็จพระเจ้าวิเทหราช  เสด็จกลับจากพระราชอุทยาน  ได้เสด็จผ่านมาทางนั้น  พอได้ทอดพระเนตรเห็นนางนั้น  ก็ทรงเสน่หารักใคร่  จึงตรัสใช้อำมาตย์ไปซักถามตามพระราชโองการ  ทราบข่าวว่ามีสามีแล้วแต่สามีทิ้งเสีย  ท้าวเธอจึงโปรดให้จัดการรับลงมาจากต้นมะเดื่อ  แล้วรับขึ้นสู่ช้างพระที่นั่งนำเข้าไปตั้งไว้เป็นอัครมเหสี  พระราชทานพระนามตามที่ทรงได้ที่ต้นมะเดื่อว่า พระนางอุทุมพรราชเทวี
อ่านต่อพรุ่งนี้ ครับ
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #17 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 06:06:45 PM »

ต่อจากตอนที่แล้ว
   อยู่มาวันหนึ่ง  สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชได้ทรงรถพระที่นั่งคันเดียวกันกับพระนางอุทุมพรราชเทวี  มีเสนาอำมาตย์ราชปุโรหิตแวดล้อมเป็นบริวาร  เสด็จถึงสถานที่แห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นหน้าที่ปิงคุตตรมาณพแผ้วถางทาง คือ  ปิงคุตตรมาณพได้ถูกเกณฑ์ไปถางทางรับเสด็จ  เวลาเสด็จถึงที่นั้น  มาณพกำลังนุ่งผ้าเหน็บรั้งถกเขมนเป็นเกลียวถางหญ้าอยู่ที่ริมมรรคา  พอพระนางอุทุมพรราชเทวีได้ทอดพระเนตรเห็นก็ทรงจำได้  จึงทรงพระดำริว่า  บุรุษคนนี้เราเข้าใจว่าเป็นคนใหญ่คนโต  ไม่รู้เลยว่าเป็นคนกุลีเช่นนี้  ครั้นทรงพระดำริอย่างนี้แล้วก็ทรงพระสรวล  สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชได้ทอดพระเนตรเห็นจึงทรงตรัสถามว่า  เหตุไรเจ้าจึงหัวเราะ  พระนางกราบทูลว่า  เพราะเหตุหม่อมฉันได้เห็นบุรุษผู้เป็นสามีเก่าซึ่งทิ้งหม่อมฉันไว้ที่ต้นมะเดื่อแล้วหนีมาแผ้วถางหนทางอยู่นี้  หม่อมฉันจึงนึกว่า บุรุษเป็นคนกาลกัณณี  จึงไม่อาจจะรับเราซึ่งเป็นคนมีสิริไว้ได้  ไม่ใช่หัวเราะด้วยเหตุอื่นเลยพระเจ้าข้า  ฝ่ายพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเชื่อว่า  เหตุไรบุรุษผู้หนุ่มแน่นเช่นนี้  จึงจะทิ้งผู้หญิงอันกำลังสาวสวยเช่นนี้ไปได้  ชะรอยเจ้าจะหัวเราะด้วยเหตุอื่น  เจ้าจงบอกเราไปตามความจริง  ครั้นตรัสดังนี้แล้วจึงชักพระขรรค์ออกเงื้อง่าว่า  เมื่อเจ้าไม่บอกตามความจริง  เราจักตัดคอเจ้าในเดี๋ยวนี้  เมื่อพระนางเจ้าได้ทรงเห็นพระอาการเช่นนี้  ก็ทรงตกพระทัยยิ่งนัก  จึงกราบทูลขึ้นว่า  ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า  ถ้าไม่ทรงเชื่อว่า  หม่อมฉันหัวเราะคนกาลกัณณีแล้ว  ขอได้โปรดถามนักปราชญ์ดูเถิด  ลำดับนั้น  พระมหากษัตริย์จึงผินพระพักตร์ไปตรัสถามเสนกว่า  ดูก่อนเสนก  ถ้อยคำที่นางนี้ทูลเล่าว่า  ได้หัวเราะคนกาลกัณณี  ซึ่งเป็นสามีเก่าของตน  ดังนี้  เสนกเชื่อหรือไม่ว่า  อันชายหนุ่มจะทิ้งหญิงซึ่งมีรูปร่างอันสวยงามเช่นนี้ได้โดยง่าย  เราเข้าใจว่า  นางหัวเราะเยาะเราด้วยเหตุอื่นต่างหาก  เสนกจึงกราบทูลขึ้นว่า  ข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วยเลย  ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจว่า  อันธรรมชายหนุ่มหญิงสาวเมื่อได้กันเป็นสามีภรรยาแล้วใหม่ๆ  ย่อมไม่ทิ้งกันไปโดยง่ายๆ  ยิ่งเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์ด้วยรูปลักษณะ  และกิริยามรรยาทอันดีงามเหมือนกับพระอัครมเหสีนี้ด้วยแล้ว  ก็ยิ่งยากนักที่บุรุษจะทิ้งไปได้โดยง่าย  เมื่อเสนกกราบทูลดังนี้แล้วจึงทรงพระดำริว่า  ควรจะถามมโหสถบัณฑิตดูจึงจะรู้แน่ว่า  จะเท็จจริงประการใด  จะเชื่อถือตามถ้อยคำของเสนกนี้ผู้เดียวไม่ได้  ครั้นทรงพระดำริแล้ว  จึงตรัสถามมโหสถว่า  ดูก่อนพ่อมโหสถ  เจ้าจะเห็นเป็นประการใด  มโหสถกราบทูล  ขอพระราชทาน  อันตัวข้าพระองค์นี้เชื่อถือว่า  เป็นจริงตามถ้อยคำของพระนางเจ้า  เพราะธรรมดามีอยู่ว่า  สิริกับกาลกัณณี  ย่อมไกลกันเหมือนฟ้ากับดิน เหมือนฝั่งสมุทรข้างโน้นกับฝั่งสมุทรข้างนี้  ถ้าข้างบุรุษเป็นคนกาลกัณณี  ข้างสตรีเป็นคนมีสิริ  หรือข้างสตรีเป็นคนกาลกัณณี ข้างบุรุษเป็นคนมีสิริแล้ว  ย่อมไม่อาจที่จะใกล้เคียงกันได้เลย  โดยเหตุนี้  ข้าพระองค์จึงเชื่อแน่ว่า  มาณพนี้เป็นคนกาลกัณณี   ส่วนพระนางเจ้าเป็นคนมีสิริ  จึงจำเป็นต้องทิ้งพระนางเสีย  เมื่อพระนางทอดพระเนตรเห็นเขากำลังถางทางอยู่เช่นนี้  จึงได้ทรงหัวเราะขึ้น  โดยเป็นธรรมดาของสตรีทั้งหลาย  เมื่อได้ดีกว่าผัวแล้วย่อมเยาะเย้ยผัวเก่าไม่เข้าการ  แต่เป็นนิสัยสันดานของผู้หญิงทั้งหลาย มักมีอย่างนี้เสมอไป ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานอภัยให้แก่พระนางด้วยเถิด  พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าขอรับรองว่า  ไม่ใช่พระนางจะทรงหัวเราะเยาะพระองค์ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งเลย  หรือไม่ใช่พระนางจะทรงหัวเราะเยาะกับชายใดชายหนึ่ง โดยพระนางทรงสิเน่หารักใคร่เป็นอันขาด  เมื่อสมเด็จพระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับถ้อยคำของมโหสถดังนี้แล้ว  ก็ทรงเห็นด้วย จึงทรงพระราชทานอภัยให้แก่พระนางอุทุมพรราชเทวี  พระนางอุทุมพรราชเทวีก็แสนที่จะขอบใจพระมโหสถ  จึงกราบบทูลว่า  ขอเดชะ หม่อมฉันได้พ้นจากความตายในครั้งนี้ก็เพราะมโหสถบัณฑิต  โดยเหตุนี้ หม่อมฉันขอรับมโหสถบัณฑิตไว้เป็นน้องชายเหมือนกับว่าร่วมอุทรกันมา  นับแต่นี้เป็นต้นไป  ท้าวเธอก็ทรงอนุญาต ได้ เป็นไรไป  แล้วพระนางจึงทูลขอพระพรอีกต่อไปว่า นับแต่วันนี้ไป ขอให้มโหสถบันฑิตเข้าวังได้ทุกเวลา  และขอให้หม่อมฉันได้ส่งของกินอันมีรสอร่อย ๆ  ไปให้มโหสถได้ทุกเวลา  อย่าให้นายประตูห้ามปรามเป็นอันขาด ฉะนี้ เพื่อหม่อมฉันจะได้ตอบแทนบุญคุณมโหสถบัณฑิต  ท้าวเธอก็ทรงพระราชทานให้  ตามที่พระนางทูลขอ  สิ้นเนื้อความในตอนพระนางอุทุมพร ซึ่งเรียกว่า  สิริกาลกิณีปัญหาเพียงเท่านี้
อ่านต่อพรุ่งนี้
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #18 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 07:27:50 PM »

ต่อจากตอนที่แล้ว
อปรสฺมี  ทิวเส  ราชา  กตปาตราโส  ปาสาทสฺส  ฑฆนฺตเร  จงฺกมนฺโต  วาสปานนฺตเรน   โอโลเกนฺโต  เอกํ  เอฬกญฺจ  สุนขญฺจ  มิตฺตสนฺถวํ  กโรนฺโต  อททส โส กิร เอฬโก  ทตฺถีสาลาบ  หตฺถิสฺส  ปุรโต  ขิตตํ  อยนามฏจํ  ติณํ ขาทีติ
   ดำเนินความว่า  ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชเสด็จพระราชดำเนินไปๆ มาๆ อยู่ที่หน้ามุขแห่งพระมหาปราสาท ได้ทอดพระเนตรเห็นแพะกับสุนัขทำไมตรีแลกอาหารกัน  คือ แพะเข้าไปคาบเอาเนื้อและปลาในโรงครัวมาให้สุนัข ฝ่ายสนัขก็ได้เข้าไปคาบเอาหญ้าในโรงช้างมาให้แพะกิน การที่เป็นดังนี้ มีต้นเหตุว่า เมื่อก่อนแพะได้เข้าไปขโมยหญ้ากินในโรงช้าง ถูกควาญช้างตีให้ได้รับทุกเวทนา ส่วนสุนัขเข้าไปลักเนื้อปลากินในโรงครัว ก็ถูกพวกพ่อครัวตี ได้รับความเจ็บปวดอย่างสาหัส สัตว์ทั้งสองวิ่งหลังแอ่นไปพบกันที่ข้างหลังปราสาทแล้วไต่ถามถึงต้นเหตุซึ่งกันและกัน เมื่อได้ทราบความแล้วจึงทำเป็นมิตรกัน ไปหาอาหารแลกกันกิน ดังที่พระมหากษัตริย์ได้ทอดพระเนตรเห็นนั้น  ครั้นพระมหากษัตริย์ได้ทอดพระเนตรเห็นแล้วก็ทรงรู้สึกแปลกพระหฤทัยว่าเหตุไรหนอ สัตว์ทั้งสองซึ่งไม่เคยถูกกันเลยจึงมาถูกกันเช่นนี้ได้  จำเราจะต้องผูกเป็นปัญหาไต่ถามนักปราชญ์  ถ้าใครแก้ไม่ได้ก็จะเนรเทศเสีย ถ้าใครแก้ได้ก็จะชุบเลี้ยงต่อไป ในเวลารุ่งเช้าขึ้น เมื่อนักปราชญ์ทั้ง ๕ เข้าเฝ้า จึงตรัสถามว่า ดูก่อนนักปราชญ์ทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมิตรกันเลยไม่เคยเดินตามกันเลยแม้แต่เพียงก้าวเดียว บัดนี้ สัตว์ทั้งสองนั้นได้มาเกิดเป็นมิตรไมตรีกันขึ้น จะได้แก่สัตว์จำพวกไหนหนอ ขอท่านทั้งหลายจงชี้แจงไป ถ้าผู้ใดขี้แจงไม่ได้เราก็จะเนรเทศผู้นั้นเสีย  ถ้าผู้ใดชี้แจงได้ เราก็จักชุบเลี้ยงต่อไป  ครั้นได้ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงนิ่งอยู่ในขณะนั้น นักปราชญ์ทั้งสอง คือ เสนกกับมโหสถต่างก็ตรองเห็นพ้องกันว่า  ถ้าได้โอกาสสักวันหนึ่งหรือสองวัน ก็อาจคิดค้นหาเหตุผลมากราบทูลถวายได้ ฝ่ายเสนกจึงมองดูตามโหสถๆ ก็รู้ความประสงค์ของเสนก  จึงกราบทูลขึ้นว่า  ขอพระราชทาน อันปัญหานี้เป็นปัญหาที่ลึกซึ้งลี้ลับ  ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่อาจกราบทูลในเวลานี้ได้  ถ้าจะทรงพระกรุณาพระราชทานโอกาสสักวันหนึ่งก่อนก็อาจจะกราบทูลได้ จึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเราให้เวลาแก่ท่านทั้งหลาย ๑ วัน ถ้าพรุ่งนี้เช้าผู้ใดแก้ไขไม่ได้เราก็ตะเนรเทศผู้นั้นแน่นอน  ตรัสฉะนี้แล้วก็เสด็จเข้าที่ประทับ ฝ่ายนักปราชญ์ทั้ง ๕ ก็พากันกลับออกจากที่เฝ้า  ส่วนมโหสถเมื่อออกจากที่เฝ้าแล้วได้ย้อนเข้าไปเฝ้าพระนางอุทุมพรราชเทวี กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระเจ้าพี่  เมื่อวันก่อนๆ ก็ดี เมื่อวันนี้ก็ดี  พระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปที่ไหนบ้าง  พระนางตรัสตอบว่า เมื่อวานนี้ เห็นเสด็จเดินไปมาอยู่ที่หนึ่งหน้ามุขปราสาทนาน ไม่ทราบว่าจะมีเหตุการณ์ประการใด  มโหสถจึงคิดว่า  พระมหากษัตริย์คงได้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งในที่นั้นเป็นแน่ ครั้นคิดแล้วจึงรีบเดินไปตรวจดู  ก็ได้เห็นแพะกับสุนัขแสดงอาการเป็นไมตรีต่อกันแลกอาหารกันกินดังที่แสดงมาแล้วนั้น  จึงคิดว่า อ้อ ? พระมหากษัตริย์เจ้าได้ทรงเห็นเหตุอันนี้เอง จึงได้ทรงเก็บเอาไปตั้งเป็นปัญหาไต่ถามพวกเรา  พรุ่งนี้เช้าเราจะกราบทูลให้ทรงทราบตามที่เป็นจริง  ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงกลับไปสู่เคหสถาน  อาบน้ำชำระกายแล้วบริโภคอาหารโดยผาสุกสำราญ
ขอพักป่วสักสองวันเมือ่หายไข้แล้วจะนำเสนอต่อไป
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 08, 2010, 07:29:21 PM โดย 8ocdj » บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #19 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 07:56:34 PM »

ขออภัย ป่วยซ่ะ 2 วัน อ่านต่อครับ   
อิตเรปิ  ตโย  จินฺเตตวา  กิญจิ  อทิสวา  ฝ่ายนักปราชญ์ทั้ง ๓ คือ ปุกกุส  กามินฑ์ เทวินท์  เมื่อกลับไปถึงบ้านเรือนนั่งคิดนอนคิดก็ไม่เป็นเหตุผลต้นปลาย  แล้วจึงพากันไปหาเสนกผู้เป็นอาจารย์ใหญ่  ไต่ถามว่า  ข้าแต่ท่านอาจารย์  ปัญหาที่ตรัสถามนั้นท่านอาจารย์คิดได้แล้วหรือยังประการใด  เสนกจึงตอบ เราจะคิดได้ที่ไหน  เพราะปัญหานี้เป็นของเหลือวิสัยของพวกเรา นักปราชญ์ทั้ง ๓ จึงกล่าวขึ้นว่า  ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะต้องถูกเนรเทศเป็นแน่นอน  ควรพวกเราจะไปฟังดูมโหสถว่าจักคิดได้แล้วหรือยังเสนกจึงกำชับว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะต้องทำเป็นรู้แล้ว เพื่อหลอกถามมโหสถ ไม่อย่างนั้นหากมโหสถคิดได้ก็จักดูถูกพวกเรา  ว่าแล้วเสนกก็พานักปราชญ์ทั้ง ๓ ไปที่บ้านมโหสถ  สนทนาปราศรัยพอสมควรแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า  ดูก่อนมโหสถ  พวกเรามาเยี่ยมท่านด้วยนึกสงสารท่านว่า พรุ่งนี้อาจถูกเนรเทศโดยเหตุที่แก้ปัญหาถวายพระมหากษัตริย์ไม่ได้
   ฝ่ายมโหสถจึงกล่าวขึ้นว่า ขอบพระคุณท่านทั้ง ๔ ที่ได้มีความกรุณาแก่ข้าพเจ้าเช่นนี้  แต่ข้าพเจ้าขอถามว่า ท่านทั้ง ๔ เล่า คิดได้แล้วหรือยัง เสนกจึงตอบว่า พวกเราคิดไม่ได้ใครเล่าจะคิดได้  ส่วนท่านมโหสถเล่าคิดได้แล้วหรือยัง  มโหสถจึงตอบว่า ข้าพเจ้ก็คิดได้แล้วเหมือนกัน  ดูก่อนมโหสถ ถ้าอย่างนั้นท่านจงว่าไปดูทีว่าจะถูกต้องดีหรือหาไม่  ถ้าไม่ถูกต้องเราก็จะกรุณาบอกให้  ดูก่อนเสนก  เราจะว่าเวลานี้ไม่ได้ เพราะไม่มีประโยชน์อันใด  ต่อเมื่อเข้าสู่ที่เฝ้าแล้วเราจึงจะกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวทีเดียว  ถ้าจะให้ดีแล้วก็ควรที่ท่านที่ง ๔ จะว่าไปให้เราฟังเพื่อเราจะได้ช่วยชี้แจงให้เห็นว่าผิดหรือถูกประการใด  ในเวลานั้น เสนกก็อิดเอื้อนไม่รู้ที่จะตอประการใด  ได้แต่นั่งมองตากันกับนักปราชญ์ทั้ง ๓ จึงพูดขึ้นตามความเป็นจริงว่า  ข้าแต่อาจารย์ ปัญหาข้อนี้เป็นอันจนใจพวกเราอยู่แล้ว ถ้ากระไรแล้วขออาจารย์จงขอเรียนกับมโหสถเสียเถิด  ไม่อย่างนั้นพวกเราก็จะต้องถูกเนรเทศ ขอท่านอาจารย์จงตรึกตรองตามเหตุผลให้ดีเถิด ฝ่ายเสนกผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ก็จนใจที่จะนิ่งอยู่  จึงบอกแก่มโหสถตามความจริงว่า  ข้าแต่เจ้าปราชญ์  ข้าพเจ้าทั้ง ๔ นี้จนใจแล้ว  ขอท่านกรุณาบอกให้แก่ข้าพเจ้าทั้ง ๔ ด้วยเถิด
   เมื่อพระมโหสถบรมโพธิสัตว์แจ้งชัดว่า  นักปราชญ์ทั้ง ๔ คิดปริศนานี้ไม่ได้แล้ว  จึงคิดว่า  ถ้าเราไม่กรุณาบอกให้ คนอันธพาลทั้ง ๔ นี้ก็จะถึงซึ่งความพินาศเสียเปล่า จำเราจะต้องช่วยในคราวนี้ ครั้นคิดแล้วจึงกล่าวว่า ดูก่อนท่านทั้ง ๔ ถ้าอย่างนั้นเราก็จะช่วยบอกให้ ในลำดับนั้น นักปราชญ์ทั้ง ๔ ก็ถอยลงนั่งในอาสนะอันต่ำ ประณมมือขึ้นคอยจดจำตามถ้อยคำที่พระมโหสถจะบอกให้ พระมโหสถก็บอกแต่เพียงเผินๆ เท่านั้น ไม่บอกให้แจ่มแจ้งเหมือนกับที่ตัวได้เห็นมา คือ
อ่านต่อพรุ่งนี้
สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #20 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2010, 07:42:26 PM »

ต่อจากตอนที่แล้ว
   บอกให้เป็นปัญหาคนละอย่างๆ ไป บอกเสนกว่า อันธรรมดาเนื้อแพะย่อมเป็นที่พอใจของอำมาตย์และลูกหลวงทั้งปวง ส่วนเนื้อสุนัขนั้นจะได้เป็นที่พอใจของลูกอำมาตย์และลูกหลวงทั้งปวงนั้นหามิได้ บัดนี้แพะกับสุนัขได้เป็นมิตรกันแล้ว ดังนี้ฯ บอกให้ปุกกุสว่า ธรรมดาหนังแพะย่อมใช้เป็นเครื่องลาดหลังช้างหลังม้าได้ ส่วนหนังสุนัขนั้นย่อมไม่มีใครใช้เป็นเครื่องลาด บัดนี้แพะกับสุนัขได้เป็นมิตรสหายกันแล้วฯ บอกให้กามินท์ว่า ธรรมดาแพะย่อมมีเขาไปไปล่แปล้ไปข้างหลัง และกินหญ้าเป็นอาหาร ส่วนสุนัขย่อมไม่มีเขาและกินเนื้อปลาเป็นอาหาร บัดนี้แพะกับสุนัขได้เป็นมิตรสหายกันแล้วฯ บอกให้เทวินท์ว่า ตามธรรมดาแพะย่อมกินแต่หญ้าและใบไม้เป็นอาหาร ส่วนสุนัขจะได้กินหญ้าและใบไม้หามิได้ กินแต่กระต่ายหรือแมวเป็นอาหาร บัดนี้แพะกับสุนัขได้เป็นมิตรสหายกันแล้วฯ เมื่อมโหสถบอกให้แต่เพียงเท่านี้แล้วก็ส่งนักปราชญ์ทั้ง ๔ นั้นกลับไป พอถึงวันรุ่งเช้าขึ้น ก็พากันเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชตามเวลาอันเคย สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชจึงตรัสถามเสนกขึ้นก่อนว่า ดูก่อนเสนก  ปัญหานั้นท่านคิดได้แล้วหรือยังประการใด เสนกกราบทูลขึ้นว่า ขอพระราชทานถ้ากระหม่อมฉันคิดไม่ได้แล้ว ใครเล่าในโลกนี้จักคิดได้  ดูก่อนอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นจงว่าไปให้เราฟังเถิด เสนกก็ว่าถวาย ตามี่เรียนมาเฉพาะใจความย่อๆ จากมโหสถนั้น แต่พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงเข้าพระทัยว่าเสนกได้รู้แจ่มแจ้งกว้างขวางด้วยปัญญาของตน จึงทรงตรัสซักถามปุกกุส กามินฑ์ เทวินท์ ต่อไปตามลำดับ นักปราชญ์ทั้ง ๓ นั้นก็ถวายแต่โดยย่อตามที่ตนได้เรียนมา พระราชาก็ทรงเข้าพระทัยว่า นักปราชญ์ทั้ง ๓ นั้น ก็เก่งเหมือนกันกับเสนก แล้วจึงผินพระพักตร์ไปตรัสถามพระบรมโพธิสัตว์เจ้าว่า ดูก่อนมโหสถ  ปัญหานั้นเจ้าคิดได้แล้วหรือประการใด มโหสถจึงกราบทูลว่า ขอพระราชทาน ผู้อื่นซึ่งมีอยู่ในโลกนี้นอกจากข้าพระองค์แล้วยากที่จะคิดได้ ถ้าอย่างนั้นขอเจ้าจงว่าไปให้เราฟังเถิด ขอพระราชทาน ขอพระองค์ได้โปรดทรงวินิจฉัยตามถ้อยคำที่ข้าพระองค์จะกราบทูลไปในบัดนี้ เมื่อกราบทูลอย่างนี้แล้วจึงกราบทูลขึ้นว่า ธรรมดาแพะย่อมมีเท้าได้ ๔ เท้า ก็กีบเท้าได้ ๘ กีบ แพะนั้นได้ไปลอบลักเอาเนื้อและปลามาให้แก่สุนัขกิน ส่วนสุนัขได้ไปคาบเอาหญ้ามาให้แพะกิน พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ทั้งสอง คือ แพะกับสุนัข อันเป็นมิตรกันด้วยอาการอย่างนี้ พระพุทธเจ้าข้า
   เมื่อพระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับคำก้ำไขของปราชญ์ทั้ง ๕ ดังนี้ แล้วก็ทรงปลื้มพระทัยว่า นักปราชญ์ทั้ง ๕ นั้น ล้วนแต่คิดได้ด้วยปัญญาของตน จึงทรงดีพระทัยว่าเราได้คนมีปัญญาไว้ถึง ๕ คน เป็นเครื่องอุ่นใจของเรามาก แล้วท้าวเธอก็ได้พระราชทานรางวัล คือรถอันเทียมด้วยม้าอัสดร ให้แก่นักปราชญ์ทั้ง ๕ นั้นคนละคันๆ ได้พระราชทานบ้านส่วยให้คนละพันๆ แล้วนักปราชญ์ทั้ง ๕ ก็ถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้ากลับสู่ที่อยู่ของตนๆ เมื่อพระนางอุทุมพรราชเทวีได้ทรงทราบ ดังนั้น จึงเสด็จไปต่อว่าพระมหากษัตริย์ว่า พระองค์ไม่ควรพระราชทานรางวัลแก่นักปราชญ์ทั้ง ๕ คนนั้นเสมอกัน ควรจะให้มโหสถบัณฑิตนั้นมากกว่าเพราะนักปราชญ์ทั้ง ๔ แก้ปริศนาได้ด้วยอาศัยมโหสถบอกให้ทั้งนั้น จึงตรัสว่าถ้าอย่างนั้นเราผิดไปเสียแล้ว แต่ช่างเถิดเราจะแก้ไขให้ในวันหลัง ครั้นตรัสดังนี้แล้วก็ทรงนิ่งหาโอกาสที่จะยกย่องมโหสถบัณฑิตอยู่เป็นนิตยกาล จบเรื่องมโหสถตอบมณฑกปัญหา คือ คือปัญหาว่าด้วยแพะกับสุนัขเพียงเท่านี้
อ่านต่อพรุ่งนี ครับ


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #21 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 06:53:20 PM »

ต่อจากเมื่อวานนี้
   แต่นี้จะแสดงตอนว่าด้วย สิริเมณฑกปัญหาคือ ตอนว่าด้วยปัญญากับทรัพย์สืบต่อไปอันมีเนื้อความว่า ครั้นอยู่มาวันหนึ่งสมเด็จพระเจ้าวิเทหราชทรงพระดำริว่า เราจะต้องถามเรื่องปัญญาและทรัพย์แก่นักปราชญ์ทั้ง ๕ เพื่อจะได้มีโอกาสพระราชทานรางวัลแก่มโหสถกุมาร  ให้ยิ่งกว่าปราชญ์ทั้ง ๔ ครั้นทรงพระดำริดังนี้แล้ว เวลานักปราชญ์ทั้ง ๕ เข้าเฝ้า จึงตรัสแก่เสนกอาจารย์ว่า  ดูก่อนอาจารย์  เราประสงค์จะถามปัญหาแก่ท่านสักข้อหนึ่ง ท่านจะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด  เสนกกราบทูลว่าขอพระราชทาน ได้โปรดถามตามพระราชประสงค์เถิดพระพุทธเจ้าข้า
   ลำดับนั้น สมเด็จพระเจ้าวิเทหราช จึงตรัสถามว่า ดูก่อนเสนกะ คนทั้งสองจำพวก คือจำพวกหนึ่งมีปัญญาอย่างเดียวไม่มีทรัพย์เลย จำพวกหนึ่งมีแต่ทรัพย์อย่างเดียวไม่ปัญญาเลย คน ๒ จำพวกนี้ท่านอาจารย์เห็นจำพวกไหนดีกว่ากัน
   อยญฺจ  ปญฺโห  เสนกสฺส   วํสานุคโต ก็แลปัญหานนี้เป็นปัญหาสืบเนื่องมาจากวงศ์ตระกูลของเสนก  เพราะฉะนั้น เสนกจึงแก้ไขได้รวดเร็วว่า  พระพุทธเจ้าข้า อันคนในโลกนี้เป็นนักปราชญ์ก็ตาม เป็นคนพาลก็ตาม เป็นคนมีศิลปวิทยาหรือไม่ก็ตาม เป็นคนตระกูลสูงหรือตระกูลต่ำก็ตามถ้าไม่มีทรัพย์แล้วก็ต้องเป็นทาสช่วงใช้ของคนมีทรัพย์ ส่วนคนที่มีทรัพย์นั้นจะเป็นคนโง่ ไม่มีศิลปวิทยา เป็นคนตระกูลต่ำต้อยสักปานใดก็ตาม ย่อมได้เป็นนายของคนที่ไม่มีทรัพย์ทั้งนั้น  โดยเหตุนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นด้วยเกล้าฯว่า คนมีทรัพย์ดีกว่าคนที่มีปัญญา พระพุทธเจ้าข้า
   ราชา ตสฺส วจนํ สุตวา ครั้นพระเจ้าวิเทหราช ได้ทรงสดับคำแก้ไขของเสนกดังนี้แล้ว จึงถามนักปราชญ์ทั้งสามอันนั้งอยู่ ในลำดับแห่งเสนก ล่วงเลยตรัสถามมโหสถกุมารอันนั่งอยู่ในที่สุดแถว เหมือนกับพระบวชใหม่ว่า ดูก่อนมโหสถ เรื่องนี้จะเห็นอย่างไร มโหสถจึงกราบทูลว่า ขอพระราชทาน อันธรรมดาคนที่มีแต่ทรัพย์อย่างเดียว ไม่มีปัญญาประกอบด้วยนั้น ย่อมเห็นแต่ได้ในปัจจุบันเท่านั้น ไม่เห็นโทษในอนาคตเลย ย่อมทำแต่สิ่งที่เป็นโทษทั้งนั้นในปัจจุบันและอนาคต ส่วนคนที่มีปัญญานั้นเล็งเห็นสิ่งที่เป็นโทษและเป็นคุณ  แล้วแต่สิ่งที่เป็นคุณทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นว่า คนที่มีปัญญาอย่างเดียวดีกว่าคนที่มีทรัพย์อย่างเดียว พระพุทธเจ้าข้าฯ พระเจ้าวิเทหราชจึงหันพระพักตร์ไปตรัสถามเสนกว่า อย่างไรเสนก  ฝ่ายมโหสถเขาว่า  คนมีปัญญาดีกว่าคนมีทรัพย์ เสนกจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้เชื่อฟังถ้อยคำของมโหสถเลย เพราะเหตุว่ามโหสถยังเป็นเด็กอยู่มาก ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ขอได้โปรดฟังถ้อยคำของข้าพระพุทธเจ้าเถิด ข้าพระพุทธเจ้าจะขอชี้แจงแต่ใกล้ๆ คือ โควินทกเศรษฐีซึ่งอยู่ในเมืองนี้ เป็นตัวอย่างเถิดเศรษฐีคนนี้ไม่มีวิชาความรู้อะไร ทั้งลูกหญิงลูกชายแกก็มีรูปร่างเลวทรามต่ำช้า เวลาอ้าปากก็มีน้ำลายไหลมาอาบคาง แต่แกมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ ก็มีคนนับถือเกรงกลัว มีสตรีรูปงามๆ ดังนางฟ้าถือดอกบัวรองรับน้ำลายของแกอยู่ข้างละคน เมื่อรับน้ำลายของแกด้วยดอกบัวแล้วก็โยทิ้งไปทางหน้าต่าง พวกนักเลงสุราพากันเก็บเอาดอกบัวนั้นไปล้างน้ำแล้วทัดหูไปที่โรงสุรา พวกขายสุราเข้าใจว่าเป็นคนใช้ของโควินทกเศรษฐี ก็ตักสุราให้กินตามปรารถนา ด้วยเกรงบารมีของโควินทกเศรษฐี ด้วยเหตุนี้แหละ ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นว่า คนมีทรัพย์ดีกว่าคนมีปัญญา
อ่านต่อพรุ่งนี ครับ


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #22 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 07:51:05 PM »

ต่อจากเมื่อวานนี้
   พระเจ้าวิเทหราชจึงมีพระราชดำรัสถามมโหสถว่าพ่อมโหสถจะเห็นประการใด  พระมโหสถกราบทูลว่า  ขอพระราชทาน อันคนที่ไม่มีปัญญานั้น ย่อมไม่รู้จัก  อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา  เมื่อมีทรัพย์ขึ้นแล้ว  ย่อมมัวเมาแต่ในเบญจกามคุณ มีสันดานหมกมุ่นอยู่แต่ในสิ่งที่หาประโยชน์มิได้  เมื่อมีทุกขภัยเกิดขึ้นแก่ตนก็ย่อมมีแต่ดิ้นรนไม่รู้จักอุบายแก้ไข มีแต่ขัดแค้นในใจ  ส่วนคนที่มีปัญญานั้นย่อมรู้จัก  อนิจฺจํ  ทุกขํ  อนตฺตา ย่อมไม่มัวเมาในเบญจกามคุณ ไม่ทำสิ่งที่หาประโยชน์มิได้  เมื่อมีภัยเกิดแก่ตนก็ไม่ดิ้นรนหวั่นไหว รู้จักอุบายแก้ไขให้พ้นภัย โดยเหตุนี้  ข้าพระพุทธเจ้า ขออกราบทูลว่า  คนมีปัญญานั้นแหละดีกว่าคนมีทรัพย์  พระพุทธเจ้าข้าฯ  พระเจ้าวิเทหราชจึงหันไปตรัสถามเสนกว่า ท่านเห็นประการใด  เสนกกราบทูลว่า ขออย่าเชื่อฟังมโหสถเลยพระพุทธเจ้าข้า
 อันมโหสถนี้ว่าอ้อมค้อมไปเปล่าๆ ข้าพระพุทธเจ้าจะขออุปมาถวาย  คือ ธรรมดาต้นไม้ที่มีผลบริบูรณ์ย่อมเป็นที่อาศัยแห่งนกทั้งหลายฉันใด  ส่วนคนที่มีทรัพย์ก็ย่อมเป็นที่อาศัยแห่งคนทั้งหลายฉันนั้น  อันคนมีปัญญานั้น ย่อมเหมือนกับต้นไม้ไม่มีผล โดยเหตุนี้ขอพระองค์ทรงเข้าพระทัยเถิดว่า คนที่มีทรัพย์นั้นแหละดีกว่ามีปัญญา พระพุทธเจ้าข้าฯ พระเจ้าวิเทหราชจึงหันไปตรัสถามมโหสถว่า พ่อจะเห็นประการใด  มโหสถกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า  อันคนที่มีแต่ทรัพย์ไม่มีปัญญานั้น เปรียบเหมือนกับต้นไม้ที่มีผลเป็นพิษธรรมดาต้นไม่มีผลเป็นพิษนี้ ย่อมทำให้นกที่กินถึงแก่ความตายฉันใด ส่วนคนที่มีแต่ทรัพย์ไม่มีปัญญาก็ทำให้คนที่คบหาถึงซึ่งความพินาศ ด้วยเหตุต่างๆ เป็นต้นว่า ใช้ให้ไปทำบาป มีการฆ่ารันฟันแทงผู้อื่นเป็นต้นฉะนั้น  ส่วนคนมีปัญญานั้นย่อมมีแต่แนะนำให้คนอื่นละความชั่วทำแต่ความดี  โดยเหตุนี้ขอพระองค์จงเข้าพระทัยเถิดว่า คนมีปัญญาดีกว่าคนมีทรัพย์พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าวิเทหราชจึงหันไปถามเสนกว่า  ท่านจะเห็นประการใด เสนกจึงกราบทูลเฉลยไขด้วยอุปมาอย่างอื่นต่อไปว่า  ขอพระราชทานธรรมดาน้ำในแม่น้ำทั้งหลายย่อมไหลไปสู่แม่น้ำคงคา แล้วไหลลงไปสู่มหาสมุทรเมื่อตกถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมหมดชื่อว่าเป็นแม่น้ำในแม่น้ำนั้นแม่น้ำนี้  และหมดสีหมดรสเดิมของตนสิ้นฉันใด  คนที่มีปัญญาอย่างเดียวเมื่อเข้าไปหาผู้มีทรัพย์แล้วย่อมอับเฉาไม่ออกหน้าออกตาฉันนั้น โดยเหตุนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นว่า คนมีทรัพย์ดีกว่าคนมีปัญญา ฯ
   พระเจ้าวิเทหราชจึงหันไปตรัสถามมโหสถว่า เสนกเขาว่าอย่างนี้  มโหสถจะเห็นเป็นประการใด  มโหสถจึงกราบทูลว่า  อันถ้อยคำเสนกนั้นย่อมไม่ถูกตามความเป็นจริง คือธรรมดาน้ำในมหาสมุทรถึงจะมากสักเท่าใดก็ดี จะมีคลื่นมากกว่าหมื่นแสนก็ดี  ก็ย่อมไม่ล้นฝั่งมหาสมุทรไปได้ฉันใด อันคนมีทรัพย์นั้น ถึงจะมีทรัพย์มากสักเท่าใดก็ดี ก็ย่อมไม่ล่วงพ้นคนที่มีปํญญาไปได้ฉันนั้น คือเมื่อเหตุอันสำคัญเกิดขึ้นแล้ว ทรัพย์เหล่านั้นย่อมจะช่วยคิดอ่านไม่ได้ จำต้องวิ่งไปหาคนที่มีปัญญา โดยเหตุนี้ คนมีปัญญาจึงจัดว่าดีกว่าคนมีทรัพย์  พระพุทธเจ้าข้า ฯ
   พระมหากษัริตย์จึงหันไปตรัสถามเสนกอีกว่า ท่านจะเห็นเป็นประการใด ตามถ้อยคำของมโหสถนั้น เราเห็นว่าเข้าทีอยู่แล้ว เสนกจึงกราบทูลว่า จะเข้าทีอะไรได้ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะกราบทูลให้พระองค์เห็นจริงในบัดนี้ คือ คนมีทรัพย์นั้น ถึงจะตัดสินถ้อยความไม่เป็นยุติธรรมก็ดี จะกินสินบนก็ดี  จะพูดผิดๆ ถูกๆ ก็ดี ก็ย่อมไม่มีใครกล้าคัดค้านได้ ส่วนคนที่มีปัญญาถึงจะทำถูก พูดถูก คิดถูก ก็ย่อมไม่มีใครเชื่อถือเอาเป็นประมาณ  เพราะเขาเห็นว่าเป็นคนจนเป็นอันได้ความว่า คำพูดของคนมีทรัพย์ย่อมมีค่า ส่วนคำพูดของคนจนย่อมเป็นของไม่มีค่า เพราะฉะนั้น ขอจงทรงเห็นเถิดว่า คนมีทรัพย์ดีกว่าคนมีปัญญา พระพุทธเจ้าข้าฯ
โปรดติดตามตอนต่อไป


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #23 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 07:25:44 PM »

ต่อจากเมื่อวานนี้
   พระมหากษัตริย์จึงหันพระพักตร์ไปตรัสถามมโหสถว่า พ่อจะเห็นเป็นประการใด มโหสถกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าทรงเห็นตามเสนกเลย  เพราะเสนกแลเห็นแต่ใกล้ๆ เท่านั้น ไม่แลเห็นกาลไกลเลย แกยกขึ้นอ้างว่าคนมีทรัพย์ถึงจะตัดสินความไม่ยุติธรรมก็ตาม จะกินสินบาดคาดสินบนก็ตาม จะพูดผิดๆ ถูกๆ ก็ตาม ก็ย่อมไม่มีผู้กล้าคัดค้านโต้เถียงนั้นย่อมมีแต่ผู้ติเตียนเกลียดชัง ทั้งต่อหน้าลับหลังทั้งในเวลาเป็นและเวลาตาย ส่วนผู้มีปัญญาถึงจะตัดสินความหรือจะทำอะไรก็เป็นยุติธรรมเสมอ มีแต่ผู้เชยชมสรรเสริญ ทั้งในเวลาต่อหน้าและลับหลัง ทั้งในเวลาเป็นและในเวลาตาย โดยเหตุนี้ ขอจงเข้าพระทัยเถิดว่าคนที่มีปัญญานั้นแหละดีกว่าคนที่มีทรัพย์ พระพุทธเจ้าข้าฯ
   พระมหากษัตริย์จึงหันไปถามเสนกอีก เสนกกราบทูลขึ้นว่า อันคนที่มีทรัพย์ย่อมเป็นที่ออกหน้าออกตาในประชาชน ส่วนคนจนซึ่งมีแต่ปัญญาย่อมไม่ออกหน้าออกตาเหมือนคนมีทรัพย์ ถ้าเข้าไปในสำนักผู้มีทรัพย์แล้วย่อมอับเฉา เหมือนกับหิ่งห้อยอันหมองแสงในเวลากลางวันฉะนั้นเพราะฉะนั้น จึงจัดว่าคนมีทรัพย์ดีกว่าคนที่มีปัญญา พระพุทธเจ้าข้าฯ
   พระมหากษัตริย์ จึงหันไปตรัสถามมโหสถอีก มโหสถจึงกราบทูลว่า เสนกนี้แลเห็นแต่ใกล้เท่านั้น ไม่มองเห็นกาลไกลเลย ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลให้ทราบว่า  ธรรมดาคนที่มีปัญญาเท่ากับดวงไฟอันใหญ่ หรือดวงจันทร์ดวงอาทิตย์อันรุ่งโรจน์ในเวลากลางคืนและกลางวันฉะนั้น เมื่อคนมีปัญญาอยู่ในที่ใด ก็มีสง่าผ่าเผยยิ่งกว่าคนโง่หลายร้อยเท่า คนทั้งหลายย่อมพอใจคบหาสมาคมนับถือในที่ทั่วไป เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงเข้าพระทัยเถิดว่า คนมีปัญญาดีกว่ามีทรัพย์  พระพุทธเจ้าข้าฯ
   พระมหากษัตริย์ก็หันไปตรัสถามเสนกอีก  เสนกกราบทูลว่า  อันคนมีทรัพย์ย่อมสมบูรณ์ไปด้วย ช้าง  ม้า  โค  กระบือ  รถลาพาหนะ  เครื่องใช้สอยบ่าวไพร่ บริวารทั้งปวง  ส่วนคนที่มีปัญญานั้นจะหาอะไรก็ไม่ได้  โดยเหตุนี้แหละ  คนที่มีทรัพย์จึงนับว่าดีกว่าคนที่มีปัญญา  พระพุทธเจ้าข้าฯ
   พระมหากษัตรย์จึงหันไปตรัสถามมโหสถอีกว่า  มโหสถจึงกราบทูลว่า  คนที่ไม่มีปัญญาย่อมรักษาทรัพย์ไว้ไม่ได้  ทรัพย์ย่อมไม่อยู่กับคนโง่  เหมือนงูซึ่งทิ้งคราบไปฉะนั้น  ส่วนคนที่มีปัญญานั้นย่อมรักษาทรัพย์ไว้ได้  และย่อมรู้จักทางหาทรัพย์  รู้จักทางจ่ายทรัพย์ให้เป็นประโยชน์  โดยเหตุนี้แหละ  จึงจัดว่าคนที่มีปัญญาดีกว่าคนมีทรัพย์  พระพุทธเจ้าข้าฯ
อ่านต่อพรุงนี้ ครับ


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #24 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2010, 07:05:44 PM »

ต่อจากตอนที่แล้ว
   พระมหากษัตรย์จึงหันไปตรัสถามเสนกอีก  เสนกจึงคิดว่า  เราจะต้องทำให้มโหสถหมดปัญญาในคราวนี้จงได้  ครั้นคิดแล้วจึงกราบทูลขึ้นว่า  พระพุทธเจ้าข้า  อันข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ นี้ล้วนแต่จัดว่าเป็นคนมีปัญญาทั้งนั้น ถ้ามโหสถถือว่าคนมีปัญญาดีกว่าคนมีทรัพย์แล้ว เหตุไรจึงมาเป็นข้าเฝ้าของพระองค์ผู้มีทรัพย์เช่นนี้เล่า ขอพระองค์จงเข้าพระทัยเถิดว่า  คนที่มีทรัพย์นั่นแหละดีกว่าคนที่มีปัญญา พระพุทธเจ้าข้าฯ พระมหากษัตริย์จึงหันไปตรัสถามมโหสถอีกว่า พ่อมโหสถจะเห็นเป็นประการใด
   มโหสถกราบทูลขึ้นว่า พระพุทธเจ้าข้า เสนกนี้เป็นคนไม่รู้จักคุณของปัญญา ข้าพระพุทธเจ้าจะกราบทูลชี้แจงซึ่งคุณของปัญญาให้ทรงทราบดังนี้ คือ อันคนที่ไม่มีปัญญาถึงจะมีทรัพย์มากสักเท่าใดก็ตาม ก็เปรียบเหมือนกับข้าทาษของคนมีปัญญา อีกประการหนึ่ง คนที่ไม่มีปัญญาย่อมได้พึ่งผู้มีปัญญาในเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น  ส่วนคนที่มีปัญญา เวลาจะต้องการทรัพย์ก็คิดหาได้โดยง่าย เวลามีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นก็ไม่ต้องหันหน้าไปหาใคร ใช้แต่ปัญญาของตัวก็เพียงพอ อีกประการหนึ่ง คนที่มีปัญญาย่อมไม่ติดอยู่ในเบญจกามคุณ คนที่มีปัญญา ย่อมถือผิดถูกดีชั่วเป็นประมาณ จะทำการสิ่งใดก็ทำได้ถูกต้องดี คนทั้งหลายย่อมนิยมนับถือปัญญาทั้งนั้น เพราะปัญญาให้สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง   สิ่งทั้งสิ้นซึ่งมีอยู่ในโลกนี้  ก็ล้วนแต่เกิดขึ้นด้วยปัญญาทั้งนั้น  ทรัพย์สมบัติก็เกิดขึ้นด้วยปัญญาทั้งนั้น  เช่น  แร่ต่าง ๆ  จะมาเป็นเงินเป็นทองได้ก็ด้วยปัญญาทั้งนั้น  แก้วต่าง ๆ บุคคลก็ได้มาด้วยปัญญา  ปัญญาเป็นมูลเหตุรากเหง้าที่จะให้เกิดทรัพย์สมบัติ  และสิ่งต่าง ๆ ทั้งนั้น  โดยเหตุนี้  ขอพระองค์จงทรงทราบเถิดว่า คนที่มีปัญญาดีกว่าคนมีทรัพย์  พระพุทธเจ้าข้า
   พระมหากษัตริย์จึงหันไปตรัสถามเสนกอีก  แต่คราวนี้  เสนกจนปัญญาไม่รู้จะแก้ไขประการใด  จึงนั่งก้มหน้าอยู่  ถ้าเสนกยังสามารถจะแก้ไขไปได้  มโหสถก็ยังจะแก้ไขให้ยิ่งกว่านี้อีก  แต่เมื่อเห็นเสนกจนปัญญาแล้ว  มโหสถจึงได้นิ่งอยู่  ฝ่ายพระมหากษัตริย์ผู้ทรงนามบัญญัติว่าวิเทหราช  จึงตรัสชมเชยมโหสถกุมาร  ด้วยถ้อยคำมีประการต่าง ๆ  แล้วพระราชทานซึ่งรางวัลเป็นอันมาก  คือ โคพันหนึ่ง  มีโคอุสุภราชเป็นนายฝูงกับช้างเชือกหนึ่ง  รถอันเทียมด้วยม้าอาชาไชย ๑๐ รถ  บ้านส่วย ๑๖ ตำบล  จบเรื่องสิริเมณฑกปัญหา  อันว่าด้วยปัญญากับทรัพย์แต่เท่านี้
อ่านต่อพรุ่งนี


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #25 เมื่อ: ตุลาคม 19, 2010, 05:40:23 PM »

ต่อจากเมื่อวานนี้
   ดำเนินความว่า จำเดิมแต่มโหสถกุมารแก้สิริเมณฑกปัญหาถวายพระเจ้าวิเทหราช แล้ว ก็มีอิสริยศและบริวารมากขึ้นโดยลำดับ พระนางอุทุมพรราชเทวีได้เป็นธุระในการดูแลทรัพย์สมบัติทั้งปวง ตลอดถึงบ่าวไพร่บริวารของมโหสถกุมาร ซึ่งได้รับพระราชทานไว้นั้น ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อมโหสถกุมารมีพระชนม์พรรษาได้ ๑๖ ปีแล้ว สมเด็จพระนางอุทุมพรราชเทวีจึงทรงพระดำริว่า เราควรจะจัดหานางกุมารีมาแต่งตั้งให้เป็นชายาแห่งน้องชายของเราในเวลาน ครั้นทรงพระดำริอย่างนี้แล้ว จึงกราบทูลแก่พระมหากษัตริย์ให้ทรงทราบ พระมหากษัตริย์จึงตรัสว่า การที่เธอคิดนี้ก็เป็นการดีอยู่แล้ว  แต่ควรจะบอกให้เจ้าตัวของเขาทราบเสียก่อนจะเป็นการดี  พระนางเจ้าก็ถวายบังคมลาออกไปชี้แจงแก่มโหสถ ฝ่ายมโหสถจึงคิดว่า นางกุมารีที่พระราชเทวีจะจัดให้นั้น บางทีจะไม่เป็นที่ชอบใจของเราก็ได้ จำเราจักต้องหาด้วยตนเอง ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงกราบทูลขึ้นว่า ข้าแต่พระราชเทวี โปรดรอสัก ๒-๓ วันก่อน อย่าเพิ่งทูลความสิ่งหนึ่งสิ่งใดแด่พระมหากษัตริย์เลย หม่อมฉันจะไปเที่ยวแสวงหานางกุมารีเอง เมื่อแสวงหามาได้แล้วจึงจะกราบทูลแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นาง ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว ก็ถวายบังคมลากลับไปสั่งพวกบริวารเสร็จแล้ว ก็ปลอมตัวเป็นช่างชุนผ้า ออกจากพระนครทางประตูด้านทิศอุดรไปแต่คนเดียว เที่ยวไปจนตราบเท่าถึงบ้านอุตตรวยมัชฌคาม
   ตทา ปน ตตฺถ เอกํ ปุราณเสฏฺฐิกุลํ ปริชณฺณํ อโหสิ ในคราวนั้น มีตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นตระกูลตกยาก ตระกูลนั้นมีธิดาอยู่คนหนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างอันโสภา มีผิวพรรณวิไลลักษณ์ ดวงพักตร์ผุดผ่องเพียงจันทร์เพ็ญ ทรงโฉมแช่มช้อยเฉิดฉันท์แม้นเหมือนอัปสรสวรรค์ นางอมรเทวีนั้น พอต้มข้าวยาคูสุกแล้วก็หาบไปส่งบิดา ซึ่งไปไถนาอยู่นอกบ้านในเวลาเช้า เมื่อเดินไปตามทางก็ได้ประสบกับมโหสถกุมารซึ่งเป็นช่างชุนผ้าเดินสวนทางมา พอมโหสถกุมารได้แลเห็นก็คิดว่า นางนี้สมบูรณ์ด้วยอิตถีลักษณะทุกประการ  ถ้ายังไม่มีสามีก็จะรับเลี้ยงเป็นภรรยา ฝ่ายว่านางอมรเทวีก็คิดว่า ถ้าเราได้เป็นชายาของบุรุษนี้ก็อาจตั้งตัวได้ดี ในลำดับนั้นมโหสถกุมารจึงคิดจะทดลองดูว่า นางจะมีสามีแล้วหรือยัง และนางจะเป็นคนโง่เขลาหรือฉลาดประการใด ครั้นคิดแล้วก็ยืนอยู่ดังเดิม จึงกำมือชูขึ้นให้นางเห็น ฝ่ายนางอมรกุมารีก็รู้เท่าความประสงค์ จึงแบมือออกรับ มโหสถกุมารก็เข้าใจว่านางยังไม่มีสามี จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วไต่ถามว่า ดูก่อนน้องหญิงผู้มีพักตร์อันงามผุดผ่อง ตัวของน้องชื่อว่าอย่างไร ฝ่ายนางอมรกุมารีก็ตอบว่า สิ่งใดไม่มีในอดีต อนาคต ปัจจุบัน สิ่งนั้นแหละเป็นชื่อของข้าพเจ้า ถ้าอย่างนั้นชื่อของเธอว่าอมรซิ เพราะเหตุว่า คำว่า อมรนี้แปลว่าไม่ตาย คือธรรมดาความไม่ตายย่อมไม่มีในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ชื่อที่ว่านี้ถูกหรือไม่เล่า นางก็ตอบว่าถูกแล้ว จึงถามต่อไปว่า ก็เวลานี้แม่อมรจะไปไหน นางตอบว่า ข้าพเจ้าจะไปส่งข้าวยาคูแก่บุพพเทวดา อ้อ จะไปส่งข้าวแก่บิดาของน้องหรือ เพราะมารดาบิดาจัดเป็นบุพพเทวดา นางก็ตอบว่าถูกแล้ว จึงตามต่อไปว่า บิดาของน้องไปทำอะไร นางตอบว่าไปพลิกแผ่นดิน อ้อ  บิดาของน้องไปไถนาหรือ นางตอบว่า ถูกแล้ว ก็บิดาของน้องไปไถนาอยู่ที่ไหน ไปไถนาอยู่ที่คนไปแล้วไม่กลับ ก็คนที่ไปไม่กลับนั้นพี่เห็นว่ามีอยู่แต่ป่าช้าเท่านั้น ถ้าอย่างนั้น บิดาของน้องไปไถนาอยู่ในที่ใกล้ป่าช้าหรือ ถูกแล้วเจ้าข้า ก็บิดาของน้องจักกลับเมื่อไรเล่า นางตอบว่า ถ้าเขามาบิดาก็ไม่กลับ ถ้าเขาไม่มาบิดาจึงจะกลับ อ้อ  ถ้าอย่างนั้นนานั้นต้องอยู่ฟากแม่น้ำซิ เพราะถ้าน้ำป่ามาบิดาของน้องก็กลับไม่ได้ ถูกหรือไม่ประการใด เมื่อนางตอบว่าถูกแล้ว นางก็วางหาบข้าวยาคูลง ด้วยคิดจะแบ่งข้าวให้มโหสถรับประทานเดินสวนทางมา พอมโหสถกุมารได้แลเห็นก็คิดว่า นางนี้สมบูรณ์ด้วยอิตถีลักษณะทุกประการ  ถ้ายังไม่มีสามีก็จะรับเลี้ยงเป็นภรรยา ฝ่ายว่านางอมรเทวีก็คิดว่า ถ้าเราได้เป็นชายาของบุรุษนี้ก็อาจตั้งตัวได้ดี ในลำดับนั้นมโหสถกุมารจึงคิดจะทดลองดูว่า นางจะมีสามีแล้วหรือยัง และนางจะเป็นคนโง่เขลาหรือฉลาดประการใด ครั้นคิดแล้วก็ยืนอยู่ดังเดิม จึงกำมือชูขึ้นให้นางเห็น ฝ่ายนางอมรกุมารีก็รู้เท่าความประสงค์ จึงแบมือออกรับ มโหสถกุมารก็เข้าใจว่านางยังไม่มีสามี จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วไต่ถามว่า ดูก่อนน้องหญิงผู้มีพักตร์อันงามผุดผ่อง ตัวของน้องชื่อว่าอย่างไร ฝ่ายนางอมรกุมารีก็ตอบว่า สิ่งใดไม่มีในอดีต อนาคต ปัจจุบัน สิ่งนั้นแหละเป็นชื่อของข้าพเจ้า ถ้าอย่างนั้นชื่อของเธอว่าอมรซิ เพราะเหตุว่า คำว่า อมรนี้แปลว่าไม่ตาย คือธรรมดาความไม่ตายย่อมไม่มีในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ชื่อที่ว่านี้ถูกหรือไม่เล่า นางก็ตอบว่าถูกแล้ว จึงถามต่อไปว่า ก็เวลานี้แม่อมรจะไปไหน นางตอบว่า ข้าพเจ้าจะไปส่งข้าวยาคูแก่บุพพเทวดา อ้อ จะไปส่งข้าวแก่บิดาของน้องหรือ เพราะมารดาบิดาจัดเป็นบุพพเทวดา นางก็ตอบว่าถูกแล้ว จึงตามต่อไปว่า บิดาของน้องไปทำอะไร นางตอบว่าไปพลิกแผ่นดิน อ้อ  บิดาของน้องไปไถนาหรือ นางตอบว่า ถูกแล้ว ก็บิดาของน้องไปไถนาอยู่ที่ไหน ไปไถนาอยู่ที่คนไปแล้วไม่กลับ ก็คนที่ไปไม่กลับนั้นพี่เห็นว่ามีอยู่แต่ป่าช้าเท่านั้น ถ้าอย่างนั้น บิดาของน้องไปไถนาอยู่ในที่ใกล้ป่าช้าหรือ ถูกแล้วเจ้าข้า ก็บิดาของน้องจักกลับเมื่อไรเล่า นางตอบว่า ถ้าเขามาบิดาก็ไม่กลับ ถ้าเขาไม่มาบิดาจึงจะกลับ อ้อ  ถ้าอย่างนั้นนานั้นต้องอยู่ฟากแม่น้ำซิ เพราะถ้าน้ำป่ามาบิดาของน้องก็กลับไม่ได้ ถูกหรือไม่ประการใด เมื่อนางตอบว่าถูกแล้ว นางก็วางหาบข้าวยาคูลง ด้วยคิดจะแบ่งข้าวให้มโหสถรับประทาน ที่ปูไว้  แล้วเชื้อเชิญให้รับประทาน มโหสถกุมารก็รับประทานแต่พอสมควร ครั้นแล้ว จึงไต่ถามถึงบ้านเรือนของนางว่า อยู่ที่ไหน นางก็ตอบเป็นปริศนาว่า ตลาดขายข้าวสัตตูและขายน้ำส้มผะอูม และต้นทองหลางใบมน มีอยู่ในที่ใด ในที่นั้นเป็นทางไปบ้านของข้าพเจ้าละ ข้าพเจ้าบอกทางด้วยมือที่ถือข้าวยาคู ขอท่านจงรู้เอาเองเถิด ว่าแล้วก็ยกหาบขึ้นใส่บ่าออกเดินไป
อ่านต่อพรุ่งนี


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #26 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2010, 08:29:28 AM »

ต่อจากตอนที่แล้ว
   โสปิ ตาย กถิตมคฺเคน ฝ่ายมโหสถกุมารก็คิดว่า ทางไปบ้านของนางอมรนี้  จะต้องพบตลาดขายข้าวสัตตูก่อน  แล้วเดินต่อไปอีกจึงจะพบตลาดขายน้ำส้มผะอูม  เลยไปอีกจึงจะพบต้นทองหลางใบมน  จะพบหนทาง ๒ แพร่ง  ทางข้างขวาเป็นทางไปบ้านนาง  เพราะนางกล่าวว่า  นางบอกหนทางให้เราด้วยมือข้างที่ถือข้าวยาคู  ครั้นคิดได้ดังนี้แล้ว  ก็ออกเดินทางไปจนกระทั่งถึงบ้านนางอมรกุมารี  พอมารดาของนางอมรแลเห็นก็ให้นึกเมตตากรุณาเป็นอย่างยิ่ง  จึงเชื้อเชิญให้นั่งตามอัธยาศัย  แล้วก็จัดแจงหาข้าวยาคูให้รับประทาน  แต่มโหสถกุมารบอกว่า  นางอมรให้ลูกรับประทานมาบ้างแล้ว  มารดาของนางอมรก็ทราบว่า  บุรุษผู้นี้มาเพื่อต้องการธิดาของเรา  จึงนิ่งอยู่  ฝ่ายมโหสถกุมารเห็นว่า  มารดาบิดาของนางอมรเป็นคนยากจนเข็ญใจ  จึงบอกว่า  ข้าพเจ้านี้เป็นช่างชุนผ้า   ถ้ามีผ้าขาดจงนำมาให้ข้าพเจ้าชุนเถิด  มารดานางอมรก็เก็บผ้ามาให้มโหสถกุมารชุนจนสิ้น  มโหสถกุมารให้ไปเที่ยวป่าวร้องชาวบ้านให้มาชุนผ้า  ชาวบ้านต่างก็พากันเอาผ้ามาจ้างให้ชุนกันเนืองแน่น  มโหสถกุมารทำการชุนผ้าอย่างรวดเร็วอยู่จนตลอดวัน  ได้ค่าจ้างชุนถึงพันตำลึง  พอเวลาเย็นก็ส่งเงินให้มารดานางอมรไปซื้อกับข้าว  มารดาของนางอมรก็รับเอาเงินนั้นไปซื้อจ่ายกับข้าวมาทำอย่างสมบูรณ์  พอเวลาเย็น  นางอมรกับบิดาก็กลับมาจากนา  แล้วคนทั้ง ๔ ก็พากันบริโภคอาหาร  เมื่อบริโภคจนอิ่มหนำสำราญแล้ว  มโหสถกุมารก็ออกปากขอนางอมรกุมารี  ต่อบิดามารดาทั้ง ๒ ก็พร้อมกันยกให้ด้วยความยินดี  ครั้นมโหสถกุมารได้อยู่กับนางอมรมาได้ ๒-๓ วันจึงคิดว่า  เราควรลองกำลังใจของนาง  ด้วยการจู้จี้จุกจิกต่างๆ คิดแล้วก็ส่งข้าวสารกึ่งทะนานให้แก่นางอมร  แล้วกล่าวว่า  เจ้าจงนำข้าวสารนี้ไปต้มเป็นข้าวยาคูบ้าง  ไปหุงเป็นข้าวสวยบ้าง  ไปทำเป็นขนมบ้าง  นางอมรก็รับไปตามคำสั่ง  คือนางได้เลือกเอาแต่ข้าวที่เป็นเมล็ดดีที่หนึ่งไปต้มเป็นข้าวยาคู  เอาข้าวที่ ๒ ไปหุงเป็นข้าวสวย  ข้าวที่ ๓ ซึ่งเป็นปลายข้าวไปทำเป็นขนม  พอทำเสร็จแล้วก็ยกไปให้มโหสถ  พอมโหสถดื่มไปนิดหน่อย  ก็รู้สึกว่าโอชาซาบซ่านไปทั่วตัว  แต่แกล้งกล่าวติเตียนว่า  เธอต้มข้าวยาคูไม่เป็น  เสียข้าวสารของเราเปล่าๆ  เป็นหญิงอะไรเช่นนี้  เพียงแต่ข้าวยาคูก็ต้มกินไม่เป็น  พูดแล้วก็ชำเลืองดูเพื่อทดลองว่านางอมรจะเป็นคนขี้โกรธหุนหันหรือไม่  แต่นางอมรก็ไม่โกรธ  นางได้ยกข้าวยาคูไปเสีย  แล้วยกขนมเข้าไปแทน  พร้อมกับกล่าวอีกว่า  เมื่อข้าวยาคูไม่ดี  ไม่ถูกปาก  ก็จงรับประทานขนมเถิด  มโหสถก็หยิบขนมใส่ปากหน่อยหนึ่งแล้วก็ถ่มเสียกล่าวว่า  เสียข้าวสารของเราเปล่า ๆ ต้มข้าวกินก็ไม่เป็น  ทำขนมกินก็ไม่เป็น  ฝ่ายนางอมรก็นิ่งเสีย  แล้วยกข้าวสวยและกับข้าวไปให้อีก  พลางกล่าวว่า  เมื่อขนมไม่ดีแล้วก็จงรับประทานข้าวสวยเถิด  พอมโหสถหยิบข้าวสวยใส่ปากได้คำหนึ่งก็รับถ่มทิ้งเสียอีก  แล้วลุกขึ้นด้วยอาการหุนหัน  เอาข้าวต้ม  ขนม  และข้าวสวยปนกันเข้าแล้วเอาขยี้ทั่วตัวนางอมรตั้งแต่ศรีษะลงมา  พลางกล่าววาจาหยาบคายว่า  เจ้านี้เป็นหญิงอะไร  ทำอะไรไม่เป็นเสียเลย  จงออกไปนั่งอยู่ที่ประตูเรือนเดี๋ยวนี้
อ่านต่อพรุ่งนี้


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #27 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 07:33:31 PM »

ต่อจากตอนที่แล้ว
   ฝ่ายนางอมรก็ไม่แสดงอาการโกรธเคืองประการใด  ได้ออกไปนั่งที่ประตูเรือนโดยเร็ว  ฝ่ายมโหสถเห็นว่า  นางอมรไม่ใช่คนขี้โกรธ  จึงเรียกให้กลับเข้าไปนั่งในเรือนอีก  นางอมรก็กลับเข้าไป  ด้วยคำเรียกเพียงคำเดียว  มโหสถก็แน่ใจว่านางอมรเป็นคนว่าง่าย  จึงหยิบเอาผ้ากัมพลออกมาจากชะลอมของตนมาส่งให้นางแล้วกล่าวว่า  เจ้าผู้มีพักตร์อันผ่องใส  จงไปอาบน้ำชำระกายเสียให้ดี  แล้วนุ่งห่มผ้าผืนนี้มา  นางอมรก็ทำตามคำสั่ง  แล้วมโหสถก็มอบทรัพย์พันตำลึงที่ได้มาด้วยการรับจ้างชุนผ้า  พร้อมกับทรัพย์อีกพันตำลึง  ที่เอาใส่ชะลอมมาจากบ้านให้มารดาบิดาของนาง  แล้วกล่าวคำอำลามารดาบิดาของนางอมรออกจากบ้านเพื่อจะกลับเข้าสู่กรุง   ก่อนจะออกเดินทางพร้อมด้วยนางอมรนั้น  มโหสถกุมารได้จัดหาเครื่องแต่งกาย  เป็นต้นว่า  ร่มและรองเท้าให้นางพอสมควรแล้วก็ออกเดินทางไป  แต่ในระหว่างเดินไปตามทางนั้น  นางอมรไม่ได้กั้นร่มหรือสวมรองเท้า  แต่เมื่อเดินเข้าป่านางจึงกั้นร่ม  เวลาเดินข้ามน้ำนางจึงสวมรองเท้า  ครั้นพ้นป่าและน้ำไปแล้ว  นางจึงหุบร่มและถอดรองเท้าเสีย  ฝ่ายมโหสถจึงถามว่า เหตุไรเจ้าจึงกระทำเช่นนี้  นางก็ชี้แจงว่า  ที่ทำดังนี้เพราะเหตุว่า  เวลาเดินไปตามป่า  อาจจะมีผลไม้และกิ่งไม้ตกหล่นลงมาถูกศรีษะได้ เวลาเดินในน้ำข้ามคลองอาจจะเหยียบเสี้ยนหนามที่ไม่เห็นก็ได้  ข้าพเจ้าจึงได้กั้นร่มและสวมรองเท้าป้องกันอันตรายนั้น
   เมื่อมโหสถได้ฟังคำอธิบายดังนี้  ก็เกิดความโสมนัสยินดีในนางยิ่งนัก  จึงดำริว่า  นางนี้เป็นผู้มีความคิดหลักแหลมดี  เมื่อพากันเดินต่อไปก็ถึงที่แห่งหนึ่ง  ได้เห็นต้นพุดซาอันกำลังมีผลสุกเต็มต้น  มโหสถก็พานางอมรแวะเข้าไป  แล้วให้นางขึ้นเก็บพุดซา  เมื่อนางขึ้นไปแล้วจึงบอกให้ทิ้งพุดซามาให้กิน  นางอมรจึงร้องถามลงมาว่า  จะกินพุดซาเย็นหรือร้อน  เมื่อมโหสถร้องตอบขึ้นไปว่า ต้องการจะกินพุดซาร้อน  นางอมรก็ทิ้งพุดซาลงมาในที่มีฝุ่นมีทรายอบความร้อนไว้  มโหสถต้องเก็บพุดซาขึ้นมาเป่าทราย  และความร้อนแล้วจึงกิน  เมื่อร้องบอกขึ้นไปว่า  ต้องการจะกินพุดซาเย็น  นางก็ทิ้งผลพุดซาลงบนที่มีหญ้าเขียวสด  ไม่ต้องเก็บขึ้นมาเป่ากินเหมือนกับที่ทิ้งลงบนฝุ่นและในทราย  มโหสถก็เห็นว่า  นางอมรเป็นคนมีปัญญามาก  ก็รู้สึกดีใจ  จึงเรียกให้นางลงจากต้นพุดซาแล้วพากันเดินไปกระทั่งถึงกรุงมิถิลา  แล้วนำนางไปฝากไว้ที่บ้านนายประตูส่วนมโหสถได้หลบหนีเข้าไปในกรุงแต่ผู้เดียว  แล้วเที่ยวเลือกหาบุรุษที่ฉลาดในเชิงเกี้ยวผู้หญิงเป็นหลายคน  บอกว่า  เราได้พาผู้หญิงคนหนึ่ง  มาฝากไว้ที่บ้านนายประตู  พวกท่านจงพากันไปเกี้ยวดู  จนเต็มความสามารถว่า  หญิงนั้นจะเป็นอย่างไร  แล้วนำมาชี้แจงแก่เรา  พวกนักเลงชายเหล่านั้น  ก็พากันไปเกี้ยวนางอมรด้วยกลอุบายต่าง ๆ  ฝ่ายนางอมรก็มิได้เอื้อเฟื้อในถ้อยคำของชายเหล่านั้น  ด้วยคิดว่า  ชายเหล่านี้ไม่เท่าฝุ่นละอองแห่งเท้าของสามีเรา  เจ้าชู้เหล่านั้นก็พากันกลับไปแจ้งแก่มโหสถ ๆ  ก็ใช้ไปเกี้ยวอีกจนถึง ๓ ครั้ง  เมื่อเห็นว่านางอมรมีใจมั่นคงดีอยู่  ในครั้งที่ ๔ จึงบอกพวกนั้นให้ฉุดตัวมา   พวกเหล่านั้นก็พากันไปฉุดตัวนางอมรมาจนถึงนิเวศน์ของมโหสถ  เวลานั้นมโหสถได้แต่งตัวเต็มยศยืนอยู่ที่หน้าพระแกลปราสาท  พอนางอมรแลเห็นก็จำไม่ได้  จึงหัวเราะแล้วร้องไห้  ร้องไห้แล้วหัวเราะ  มโหสถจึงถามอีกว่า  ทำไมจึงเป็นอย่างนี้  เจ้าหัวเราะและร้องไห้ดังนี้เป็นด้วยเหตุไร
โปรดติดตามตอนต่อไป


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #28 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2010, 07:12:25 PM »

ต่อจากตอนที่แล้ว
   นางอมรตอบว่า  การที่ข้าพเจ้าหัวเราะนี้  เพราะนึกถึงบุญบารมีที่ท่านทำมาจนได้สมบัติเห็นปานฉะนี้  ส่วนที่ร้องไห้นั้น  เป็นเพราะนึกสงสารว่า  ท่านทำกาเมสุมิจฉาจารแล้วท่านจะต้องไปตกนรก  เมื่อมโหสถได้ฟังดังนั้น  ก็เห็นว่านางอมรเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์จึงบอกใบ้ใหสัญญาแก่พวกบุรุษเจ้าชู้  ให้นำนางกลับไปไว้ที่บ้านนายประตูคนเก่า  แล้วมโหสถจึงแต่งตัวเป็นช่างชุนกลับออกไปหานางอีก  พอรุ่งเช้ามโหสถก็เข้าไปกราบทูล  แด่พระนางอุทุมพรราชเทวี  เล่าเรื่องที่ตนได้ไปแสวงหานางกุมารีได้มาแล้ว  พระนางอุทุมพรราชเทวีก็กราบทูลแด่พระมหากษัตริย์ให้ทรงทราบ  แล้วพระนางเจ้าก็ได้พระราชทานซึ่งเครื่องอลังการทั้งปวง  กับทั้งวอทองออกไปรับนางอมร  มีขบวนแห่  และมหรสพออกไปรับนางอมรเข้ามาสู่พระราชวัง  แล้วได้ทำการอาวาหมงคลอย่างมโหฬารก็มีขึ้นในครั้งนั้น  คนทั้งหลายมีพระมหากษัตริย์และพระอัครมเหสีเป็นประธาน  ต่างก็มีความชื่นบานยินดีส่งเครื่องบรรณาการไปให้แก่มโหสถเป็นอเนกนานาประการ  นางอมรก็จัดแจงแบ่งเครื่องบรรณาการออกเป็นสองส่วน  เอาไว้ส่วนหนึ่ง  ส่งกลับคืนไปให้แก่เจ้าของส่วนหนึ่ง  จำเดิมแต่นั้นมา  นางอมรและมโหสถก็อยู่ด้วยกันโดยความผาสุกสำราญ  ไม่มีการทะเลาะวิวาทบาดหมางกันแต่ประการใด  สิ้นเนื้อความในอมรเทวีปริเยสนกัณฑ์  คือ  ตอนว่าด้วยมโหสถเที่ยวแสวงหาภรรยาแต่เท่านี้
   เอกทิวสํ เสนโก อิตเร ตโย อตฺตโน สนฺติกํ อาคเต ทิสฺวา ต่อนี้ไป ว่าด้วยเรื่องตอนนักปราชญ์ทั้ง ๔ คิดขโมยแก้วมณีของพระมหากษัตริย์ไปไว้ที่บ้านพระมโหสถ เพื่อหาเรื่องให้มโหสถถูกลงพระราชอาญาด้วยความริษยา อยู่มาวันหนึ่ง เสนกได้เห็นนักปราชญ์ทั้ง ๓ มาสู่สำนักของตน  จึงกล่าวว่า  ท่านทั้ง ๓ บัดนี้มโหสถดีกว่าพวกเรามากแล้ว  มีทั้งยศศักดิ์ทรัพย์สิน  และบริวารมากมาย  ทั้งภรรยาก็เฉลียวฉลาดมีปัญญาหลักแหลม  เราจะคิดประการใด  จึงจะให้พระมหากษัตริย์เห็นว่า  มโหสถเป็นกบฏได้  นักปราชญ์ทั้ง ๓ จึงกล่าวว่า  แล้วแต่ท่านอาจารย์
   เสนกจึงว่าถ้าอย่างนั้นท่านทั้ง ๓ คน จงพากันทำตามอุบายของเรา คือ ให้ปุกฺกสไปลักเอาดอกไม้ทอง ให้กามินท์ไปลักเอาผ้ากัมพล ให้เทวินท์ไปลักเอาฉลองพระบาททอง  ส่วนตัวของเราจะไปลักเอาแก้วมณี  เมื่อเราทั้ง ๔ ลักของพระมหากษัตริย์ได้มาแล้ว  จงช่วยกันคิดอ่านให้ของทั้ง ๔ นั้น ตกไปอยู่ในบ้านของมโหสถให้จงได้ เมื่อสำเร็จดังนี้แล้วให้พวกเราช่วยกันกราบทูลว่า พระมโหสถเป็นกบฏ เมื่อตกลงกันแล้วก็พากันไปลักของทั้ง ๔ นั้นมา ส่วนเสนกได้เอาแก้วมณีใส่ลงในหม้อเปรียงให้ทาสีเอาไปเร่ขายที่หน้าบ้านมโหสถ  แล้วสั่งสอนว่าอย่าขายให้คนอื่นเป็นอันขาด จงขายให้เฉพาะคนในบ้านของมโหสถ และอย่าเอาราคาเลย  เมื่อทาสีรับคำสั่งแล้ว ก็หิ้วหม้อน้ำมันเปรียงไปเที่ยวเร่ขายอยู่ที่หน้าบ้านของมโหสถ เดินกลับไปกลับมาอยู่ในที่นั้น พอนางอมรแลเห็นก็นึกแปลกใจว่า เหตุไรทาสีคนนี้จึงไม่ไปเที่ยวเร่ขายในที่อื่น มาเดินวนเวียนอยู่แต่ที่หน้าบ้านเราเท่านั้น ชะรอยจะมีเหตุร้ายดีอยู่ในตัวทาสีนี้เป็นแน่ จึงเรียกทาสีนั้นเข้าไปบอกว่า เราจะซื้อเปรียงของเจ้า พอทาสีนั้นเข้าไปถึงแล้ว นางอมรก็พยักหน้าให้อาณัติสัญญาแก่สาวใช้ ให้พากันหลีกออกไปจากที่นั้นให้หมด สักครู่หนึ่ง นางก็ทำเป็นเรียกให้ออกมาอีก แต่สาวใช้ได้พากันเฉยอยู่ไม่ออกมา
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก


คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436


Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 8 : Exp 38%
HP: 0%


« ตอบ #29 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 08:10:35 PM »

ต่อจากตอนที่แล้ว
   นางจึงวานทาสีคนนั้นให้ช่วยไปเรียกสาวใช้ พอทาสีคนนั้นลับตาไป  นางจึงล้วงมือลงไปในหม้อน้ำมันเปรียงนั้น  ก็ปรากฏว่ามีแก้วจุฬามณีอยู่ภายใน  จึงหยิบขึ้นมาดู  ก็รู้ว่าเป็นแก้วประดับพระเศียรของพระมหากษัตริย์  จึงวางลงในหม้ออีก  ก็พอดีทาสีคนนั้นไปเรียกสาวใช้กลับมาพอดี  นางอมรก็ถามว่า  เจ้ามาจากไหน  มารดาและตัวเจ้ามีชื่ออย่างไร  ทาสีนั้นก็ตอบว่ามาจากสำนักท่านเสนก  และบอกชื่อมารดาบิดาของตัวให้เสร็จ จบหน้า 044นางอมรจึงถามว่า  หม้อเปรียงนี้เจ้าจะขายเท่าไร  ทาสีนั้นตอบว่า   จะแลกข้าวเปลือก ๔ ทะนาน  แต่ถ้าพระแม่เจ้าจะซื้อก็ยินดีถวายเปล่า ว่าแล้วก็มอบหม้อเปรียงให้แก่นางอมรแล้วกลับไป ได้ไปแจ้งเรื่องนี้แก่เสนก เสนกก็ดีใจว่า สมความมุ่งหมายของตนแล้ว ฝ่ายนางอมรก็จดวันเดือนปีขึ้นแรมและพวกทาสี มารดาบิดาทาสีนั้นไว้ถี่ถ้วนทุกประการ
   ฝ่ายปุกกุสได้ไปลักเอาดอกไม้ทองมาแล้ว ก็ใส่ลงในพวงดอกมะลิให้ทาสีไปเที่ยวเร่ขายที่หน้าบ้านของมโหสถอีก ส่วนกามินท์ก็ไปลักเอาผ้ากัมพล ได้มาแล้วก็ใส่ลงในกระเช้าผ้า เอาผ้าปิดข้างบนแล้วก็ส่งให้ทาสีนำไปเที่ยวเร่ขายที่หน้าบ้านของมโหสถอีกเหมือนกัน เทวินท์ก็ไปลักเอาฉลองพระบาททองมาใส่ลงในฟ่อนข้าว แล้วก็ส่งให้ทาสีไปเที่ยวเร่ขายที่หน้าบ้านมโหสถอีกเหมือนกัน นางอมรก็รับซื้อเอาของนั้นไว้ แล้วจดเวลา วัน เดือน ปี ชื่อทาสีและมารดาบิดาของทาสีทั้ง ๔ คนนั้นไว้  แล้วแจ้งให้มโหสถทราบ ฝ่ายนักปราชญ์ทั้ง ๔ ก็ชวนกันไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชแล้วกราบทูลถามว่า เหตุไรพระองค์จึงไม่ทรงประดับประดาพระจุฬามณี พระองค์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นจงนำมาเถิด นักปราชญ์ทั้ง ๔ ก็ทำเป็นค้นหา สักครู่หนึ่งแล้วก็กลับออกไปกราบทูลว่า พระจุฬามณีนั้นหายเสียแล้ว ใช่จะหายแต่พระจุฬามณีเท่านั้นก็หาไม่ ดอกไม้ทอง ผ้ากัมพล ฉลองพระบาททองก็พลอยหายไปด้วย จึงตรัสถามว่า ท่านทั้งหลายเข้าใจว่าของทั้ง ๔ นั้นหายไปอย่างไร จึงพร้อมกันกราบทูลว่า ข้าพระบาททั้ง ๔ นี้สงสัยว่า ของเหล่านี้คงตกอยู่ในบ้านของมโหสถแน่นอน เพราะสังเกตเห็นกิริยามโหสถเป็นคนใหญ่ใฝ่สูงขึ้นเป็นลำดับ ท่วงทีจะคิดชิงเอาราชสมบัติของพระองค์ก็ได้  เมื่อนักปราชญ์ทั้ง ๔ กราบทูลปรักปรำมโหสถอย่างนี้แล้ว คนสอดแนมของมโหสถก็รีบกลับไปแจ้งแก่มโหสถๆ จึงคิดว่า จะต้องไปเฝ้าในบัดนี้ แล้วก็รีบแต่งตัวเข้าสู่พระราชวัง แต่พระมหากษัตริย์ได้ซ่อนพระองค์เสีย ก็หาได้เฝ้าไม่ จึงคิดว่า เราจะขืนอยู่ไปในที่นี้ไม่เป็นการสมควร เพราะอาจจะเป็นอันตรายแก่เรา ครั้นคิดแล้ว จึงรีบกลับออกจากที่เฝ้ากลับไปสู่บ้านของตนเสีย ฝ่ายพระมหากษัตริย์จึงเสด็จออกจากที่ซ่อนแล้วตรัสสั่งนักปราชญ์ว่า ท่านทั้ง ๔ จงพากันไปจับมโหสถในบัดนี้
   ในขณะนั้น พวกสอดแนมก็รีบออกไปแจ้งแก่มโหสถโดยด่วน มโหสถจึงคิดว่า เวลานี้เราควรจะหลบหนีเสียก่อน เพื่อผ่อนหาอุบายต่อภายหลัง ครั้นคิดแล้วจึงให้อาณัติสัญญาแก่นางอมร และกำชับสั่งสอนเป็นความลับเสร็จแล้ว มโหสถจึงรีบแต่งตัวเป็นคนขอทานออกจากพระนครไป ตั้งหน้าไปอาศัยช่างปั้นหม้ออยู่ที่บ้านทักขิณเวยมัชฌคาม ขอเป็นลูกมือปั้นหม้ออยู่กับช่างหม้ออยู่ในตำบลนั้น ในเวลานั้น ก็ได้เกิดเล่าลือกันไปทั่วทั้งพระนครว่า บัดนี้มโหสถได้หนีไปแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป


สมาชิกใหม่ทุกท่าน >>> กดที่นี่

ท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ ?
1 login ... เข้าเวป
2 หาเพลงโหลด
3 มีให้โหลด ตอบเพื่อโหลด ไม่มีให้โหลด ไปข้อ4
4 logout ... ไปดีกว่า
อา-ราย-หว่า ???

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
 
 
กระโดดไป:  






Saisampan.net
สายสัมพันธ์ - เพลงลูกทุ่งเก่า (เก่ากว่าที่ท่านคิด)
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!