8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก
คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 8 : Exp 38%
HP: 0%
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2010, 09:02:14 pm » |
|
ต่อจากตอนที่แล้ว ฝ่ายนักปราชญ์ทั้ง ๔ ต่างก็ดีใจว่า สมประสงค์ของตนแล้ว จึงกล่าวว่า บัดนี้พวกเราจะวิตกอะไรเล่า เมื่อมโหสถหนีไปแล้วเช่นนี้ เมียของมโหสถก็จะต้องเป็นเมียของพวกเรา ว่าแล้วต่างก็กำชับซึ่งกันและกัน ให้พยายามออกอุบายติดพันกับนางอมรให้จนได้ ในไม่ช้านักปราชญ์ทั้ง ๔ นั้น ต่างก็มีจดหมายถึงนางอมร ว่าด้วยความรักมีประการต่างๆ นางอมรจึงคิดว่า นักปราชญ์ทั้ง ๔ นี้ชั่วช้าลามกหนักหนา มีแต่ริษยาผู้อื่นเท่านั้น คราวนี้เราจะทำให้นักปราชญ์ทั้ง ๔ นี้ได้รับความอับอายขายหน้าให้สมใจ ครั้นคิดแล้วก็ตอบไปว่า ให้ท่านมาหาข้าพเจ้าในเวลานั้นๆ คือ นางนัดนักปราชญ์ทั้ง ๔ ให้มาคนละเวลา แล้วนางอมรได้ให้พวกทาสีขุดหลุมให้ใหญ่ลึก ทำรั้วให้รอบมิดชิด ให้ตักมูตรและคูถเทลงไปในหลุมให้เต็ม ที่ปากหลุมนั้นให้ทำเป็นกระดานยนต์ ปิดไว้ด้วยเสื่อลำแพนทำเป็นเหมือนกับห้องน้ำ ประดับประดาด้วยดอกไม้ และของหอมไว้ให้สร็จแต่ในเวลากลางวัน พอตกถึงเวลาพลบค่ำเสนกก็รีบตกแต่งร่างกายไปที่บ้านของนางอมร นางอมรก็ให้สาวใช้เชิญเข้าไปแล้วบอกว่า ขอให้ท่านไปอาบน้ำเสียก่อน จึงค่อยมาหลับนอนต่อภายหลัง แล้วพาเสนกเข้าไปในห้องน้ำ พอเห็นได้ทีก็เหยียบกระดานยนต์ให้เสนกตกลงในหลุมคูถ ส่วนนางอมรก็มานั่งคอยรับนักปราชญ์คนอื่นอีก เมื่อปุกกุส กามินท์ เทวินท์ มาเป็นลำดับ ๒-๓-๔ นางอมรก็ลวงเข้าไปตกลงในหลุมคูถทั้งหมด แล้วให้ปิดปากหลุมและประตูไว้คืนยังรุ่ง เวลาเช้านางจึงให้พวกบ่าวไพร่ฉุดตัวขึ้นมาจากหลุม ให้ใช้แปรงกาบมะพร้าวขูดถูร่างกายจนคูถและมูตรออกหมดแล้ว ให้ถอนผมด้วยเสี้ยนตาล แล้วให้เอาน้ำมันชะโลมตัว เอานุ่นโรยให้ทั่วตัวขาวเหมือนลิงเผือกเรียบร้อยแล้ว จึงให้พันตัวด้วยเสื่อลำแพนคนละผืนๆ แล้วให้บ่าวไพร่หามตามหลังเข้าไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช พอถึงแล้วกราบทูลว่า กระหม่อมฉันได้ลิงเผือกมาถวายพระองค์ ๔ ตัว ว่าแล้วก็ให้แก้เสื่อลำแพนออกทีละผืนๆ ในเวลานั้น พวกนักปราชญ์ทั้ง ๔ ต่างก็นั่งก้มหน้าซบเซาด้วยความอดสูพ้นที่จะประมาณ ท้าวเธอจึงมีพระราชโองการดำรัสถามนางอมรว่า แม่อมรเรื่องนี้เป็นมาอย่างไรกัน นางอมรก็ทูลเล่าเรื่องถวายพระเจ้าวิเทหราช เริ่มแต่นักปราชญ์ทั้ง ๔ ใช้ให้ทาสีนำของทั้ง ๔ อย่างไปขายในบ้านของตน มาจนตลอดถึงนักปราชญ์ทั้ง ๔ ได้พากันไปตกหลุมให้ทรงทราบ โดยละเอียดถี่ถ้วนทุกประการ แล้วกราบทูลว่า ขอพระองค์ทรงรับโจรทั้ง ๔ นี้ไว้เถิด กราบทูลแล้วก็ถวายบังคมลากลับไปสู่บ้านของตน ส่วนจอมมหิดลวิเทหราช ก็โปรดให้นักปราชญ์ทั้ง ๔ นั้น กลับไปสู่บ้านเรือนแห่งตน หาได้ลงโทษประการใดไม่ พราะทรงกริ่งพระทัยอยู่ว่า เวลานี้มโหสถก็หนีไปแล้ว เรายังไม่รู้ว่ามโหสถจะไปคิดอ่านประการใด จบเรื่องมโหสถตอนนักปราชญ์ทั้ง ๔ ลักของหลวง มีแก้วมณีเป็นต้น ไปขายให้ที่บ้านของมโหสถ ซึ่งเรียกว่ารัตนโจรกัณฑ์แต่เพียงเท่านี้. อถ รญฺโญ ฉตฺเตปิ อธิวตฺถา เทวตา โพธิสตฺตสฺส ธมฺมเทสนํ อสุณนฺตา กิ นุ โข การณนฺติ อาวชฺชมานา ตํ การณํ ญตฺวา หนฺทาหํ ปณฺฑิตสฺส อายนาการณํ กริสฺสามีติ จิตฺเตตฺวา รตฺติภาเค ฉตฺตปณฺฑิกํ วิวเรตฺวา ราชานนฺติ โปรดติดตามตอนต่อไป
|
|
|
|
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก
คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 8 : Exp 38%
HP: 0%
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2010, 07:07:06 pm » |
|
ต่อจากตอนที่แล้ว ดำเนินความว่า เมื่อพระมโหสถหนีไปจากพระนครแล้ว เทพยาดาตนหนึ่ง ซึ่งสิงอยู่ที่กัมพูฉัตรของพระเจ้าวิเทหราช ก็ขาดจากการสดับพระธรรมเทศนาของพระมโหสถ จึงคิดว่า มีเหตุผลประการใดหนอ ครั้นคิดไปก็ทราบเหตุว่า บัดนี้พระมโหสถได้หนีไปเสียแล้ว เราควรจะทำให้พระเจ้าวิเทหราชอัญเชิญพระมโหสถกลับมาอีก พอถึงเวลาราตรีจึงเผยออกซึ่งกัมพูฉัตร สำแดงกายให้ปรากฏชัดแก่พระมหากษัตริย์ แล้วถามปัญหา ๔ ข้อว่า ดูก่อนมหาบพิตร บุคคลมีอยู่ ๔ จำพวก คือจำพวกหนึ่งยิ่งชกยิ่งเตะ ยิ่งต่อยตีก็ยิ่งเป็นที่รัก จะได้แก่บุคคลจำพวกใด อีกจำพวกหนึ่งยิ่งด่าว่าแช่งชักก็ยิ่งเกิดความรักใคร่เอ็นดู จะได้แก่บุคคลจำพวกใด อีกจำพวกหนึ่ง ยิ่งกล่าวร้ายใส่โทษแก่กัน ก็ยิ่งเป็นที่รักของกันและกัน จะได้แก่บุคคลจำพวกใด อีกจำพวกหนึ่ง ยิ่งขนเอาของไปยิ่งเป็นที่รักใคร่แห่งเจ้าของ จะได้แก่บุคคลจำพวกใด พระมหากษัตริย์จึงพิจารณาดูจนสุดพระปัญญาของพระองค์แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะแก้ได้ จึงตรัสว่า ดูก่อนเทพยดา สุดปัญญาของข้าพเจ้าเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่อาจจะแก้ไขได้ ก็แต่ว่าข้าพเจ้าจะไต่ถามนักปราชญ์ทั้งปวงดูก่อน ขอท่านจงรอฟังสักวันหนึ่งก่อนเถิด เทพยดานั้นก็อนุญาตให้แล้วก็หายวับไป ในเวลารุ่งเช้า พระมหากษัตริย์เจ้าก็มีรับสั่งให้นักปราชญ์ทั้ง ๔ นั้นเข้าเฝ้า นักปราชญ์ทั้ง ๔ ให้คนเข้าไปกราบทูลว่า เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงยังมีศรีษะโล้นอยู่ จะเดินไปตามทางนั้นให้รู้สึกมีความละอายแก่คนทั้งหลายเป็นกำลัง พระมหากษัตริย์จึงทรงพระราชทานหมวกสานด้วยใบมะพร้าว ๔ ใบ มีสัณฐานดังทะนานตวงข้าว ออกไปให้แก่นักปราชญ์ทั้ง ๔ นั้นว่า ให้นักปราชญ์ทั้ง ๔ สวมหมวกเหล่านี้เข้ามาเถิด นักปราชญ์ทั้ง ๔ ก็สวมหมวกนั้นเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมแล้วก็นั่งคอยพระราชโองการอยู่ พระมหากษัตริย์จึงตรัสถามเสนกว่า ดูก่อนเสนก เมื่อเพลาเที่ยงคืนๆ นี้ เทพยาดาอันสิงอยู่ในกัมพูฉัตรได้ถามปัญหาเรา ๔ ข้อ เราไม่อาจจะแก้ไขได้ ได้รับคำเทวดาไว้ว่า จะถามพวกท่านดูก่อน แล้วจึงจะแก้ให้ฟัง ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงยกปัญหา ๔ ข้อนั้นขึ้น ไต่ถามนักปราชญ์ทั้ง ๔ ก็ไม่มีผู้ใดจะแก้ได้ นั่งอั้นอ้นจนปัญญาไปด้วยกันทั้งนั้น ส่วนเสนกนั้นได้แต่พูดพึมพำว่า ใครดีใครอยู่เท่านั้น ส่วนนักปราชญ์ทั้ง ๓ นั้นให้รู้สึกมืดเหมือนกับปิดตาทีเดียว พระมหากษัตริย์ก็ทรงร้อนพระทัยเป็นอันมาก พอถึงเวลาราตรีเข้าปัจฉิมยาม เทวดานั้นก็มาถามอีก พระมหากษัตริย์ก็ตรัสตอบว่า ข้าพเจ้าแก้ไม่ได้ นักปราชญ์ทั้ง ๔ ก็แก้ไม่ได้ เป็นอันจนใจเสียแล้ว เทพยดาจึงกล่าวว่า นักปราชญ์ทั้ง ๔ นั้นก็ดี คนอื่นๆ ก็ดี ย่อมไม่มีใครสามารถที่จะแก้ปัญหาทั้ง ๔ นี้ได้ เว้นแต่มโหสถผู้เดียวเท่านั้น พระองค์จงให้คนไปเที่ยวหามโหสถมาเถิด ถ้าไม่ได้มโหสถมา เราจะตีศีรษะของพระองค์ด้วยค้อนเหล็กอันลุกเป็นเปลวเพลิงให้แตกทำลายไป นี่แน่ะพระองค์ผู้เป็นพระมหากษัตริย์ อาการของพระองค์นี้เหมือนกับอาการของบุคคลผู้ต้องการไฟ แต่ไปหาใบไม้ใบหญ้ามาก่อที่ก้นหิ่งห้อย ด้วยเข้าใจว่าจะได้ไฟ จะได้ไฟมาแต่ไหนหรือเหมือนกับบุคคลผู้ต้องการน้ำโคนม แต่ไปรีดที่เขาโค จะได้น้ำนมโคมาแต่ไหน หรือไม่อย่างนั้นเปรียบเหมือนบุคคลต้องการชั่งสิ่งของทั้งปวงแล้วทิ้งตาชั่งเสีย เอาฝ่ามือเข้าชั่งแทน จะได้ความเที่ยงตรงแต่ที่ไหน นี่แน่ะมหาบพิตร อันท้าวพระยามหากษัตริย์แต่โบราณ ซึ่งปราบปรามข้าศึกศัตรูได้นั้น ล้วนแต่ชุบเลี้ยงแต่คนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดไว้ให้เป็นหัวหน้าแห่งเสนาทั้งปวง และทรงบำรุงรักษาซึ่งพวกพลพาหนะไว้เป็นอันดี แต่นี่พระองค์ไม่ทรงทำอย่างนั้น ได้ทิ้งมโหสถผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมเสีย เลี้ยงแต่คนโง่เง่าเต่าตุ่นไว้ เราขอบอกว่า ถ้าพระองค์แก้ปริศนาของเราไม่ได้ เราจักไม่ไว้ชีวิตเลย ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็อันตรธานหายไปจากที่นั้น โปรคอยติดตามตอนต่อไป
|
|
|
|
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก
คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 8 : Exp 38%
HP: 0%
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: ตุลาคม 31, 2010, 06:58:35 pm » |
|
ต่อจากตอนที่แล้ว ราชา มรณภยชฺชิโต ต่อนี้ไปว่าด้วยเรื่องในตอนภูริปัญหา สืบต่อไปมีเนื้อความว่า เมื่อพระเจ้าวิเทหราช ได้ทรงสดับคำตวาดคุกคามของเทพยดานั้นแล้ว ก็สะดุ้งกลัวต่อมรณภัยยิ่งนัก พอรุ่งเช้าขึ้นก็โปรดให้อำมาตย์ทั้ง ๔ ขึ้นรถคนละคันพร้อมกับให้ถือทรัพย์ไปคนละพันตำลึง ให้ไปเที่ยวติดตามมโหสถทั้ง ๔ ทิศ ตรัสสั่งว่าพบมโหสถในที่ใด จงบูชาด้วยทรัพย์พันตำลึง แล้วอัญเชิญมาหาเราโดยเร็ว อำมาตย์ทั้ง ๔ นั้นก็กระทำตามพระราชโองการ ส่วนนักปราชญ์คนหนึ่งซึ่งออกไปทางประตูทิศทักษิณนั้น ได้ขับรถไปจวนจะถึงใกล้บ้านมโหสถอาศัยอยู่ ในเวลานั้นมโหสถกำลังนั่งหันจักรปั้นหม้อให้ช่างหม้ออยู่ และไปขนเอาดินมาวางลงบนกองกระดานสำหรับปั้นหม้อบ้าง พอได้เห็นอำมาตย์นั้นแต่ไกล จึงคิดว่า ลาภยศของเราจักคงคืนเป็นปกติในวันนี้แล้ว เราจักกลับไปบริโภคอาหารอันมีโอชาที่แม่อมรตกแต่งอีกแล้ว ครั้นดำริอย่างนี้แล้วก็นั่งดูอำมาตย์นั้นอยู่ อำมาตย์พวกนั้นเป็นพวกของเสนก ซึ่งถือว่าทรัพย์ดีกว่าปัญญา พอได้เห็นมโหสถทำการตรากตรำอยู่อย่างนั้น จึงกล่าวขึ้นว่า ข้าแต่เจ้าปราชญ์ ถ้อยคำที่เสนกกล่าวว่าทรัพย์ดีกว่าปัญญานั้นท่านควรจะจำไว้เป็นคติ ดูแต่ท่านนี้เถิด เมื่อไม่มีทรัพย์แล้วก็ต้องมาลำบากตรากตรำอยู่อย่างนี้ ถึงมีปัญญาก็มีเสียเปล่า ไม่เห็นช่วยท่านให้มีความสุขได้ ฝ่ายมโหสถจึงตอบว่า ดูก่อนอำมาตย์ตาบอด การที่เราทำงานตรากตรำอยู่อย่างนี้ ก็ด้วยปัญญาของเราที่จะทำให้สิริสมบัติทั้งสิ้นคงคืนแก่เราเป็นปกติ เราเห็นว่าเวลานี้เป็นเวลาที่พระมหากษัตริย์ทรงพระพิโรธ จึงสมควรจะละอิสริยยศ และบริวารออกมาทำการตรากตรำอยู่เช่นนี้แต่ผู้เดียว เพื่อไม่ให้พระมหากษัตริย์ทรงระแวงสงสัยเรา เราจักรู้เวลาอันควรและไม่ควร เวลาใดควรทำอย่างไร เราก็จักทำอย่างนั้น เวลาควรถ่อมเราก็ถ่อม เวลาควรองอาจเราก็องอาจไม่ช้าท่านก็จักเห็นเราองอาจปานดังพญาราชสีห์ลำดับนั้น อำมาตย์ผู้นั้นจึงแจ้งเหตุว่า ข้าแต่เจ้าปราชญ์ บัดนี้เทพยดาที่สิงอยู่ในกัมพูฉัตร ได้ถามอรรถปริศนา ๔ ข้อ ต่พระมหากษัตริย์ๆ และนักปราชญ์ทั้ง ๔ ไม่สามารถจะชี้แจงแก้ไขได้ จึงตรัสใช้ข้าพเจ้าให้ออกมาอัญเชิญท่านไปในเวลานี้ มโหสถจึงตอบไปทันทีว่า นี่แน่ะอำมาตย์ เห็นหรือยังเล่าว่าปัญญาดีกว่าทรัพย์ ถ้าท่านเห็นว่าทรัพย์ดีกว่าปัญญาแล้ว พระมหากษัตริย์ก็มีทรัพย์เป็นนักเป็นหนา เหตุไรจึงไม่เอาทรัพย์มาแก้ปริศนาเล่า ต้องมาเที่ยวหาเราผู้มีปัญญาทำไม ยศและบริวารทั้งปวงทำไมจึงไม่ช่วยแก้ปัญหาเล่า นี่แนะอำมาตย์ผู้โง่เขลา จงเข้าใจไว้เถิดว่า ปัญญานี้แหละย่อมเป็นที่พึ่งในเวลามีเหตุเภทภัย ในลำดับนั้น อำมาตย์ผู้นั้นจึงน้อมเอาถุงทรัพย์พันตำลึงเข้าไปมอบไว้แก่พระมโหสถ ในขณะนั้น นายช่างหม้อที่เป็นอาจารย์ก็ตกใจว่า เราไม่รู้เลยวานี่คือพระมโหสถ เราได้ใช้สอยให้หยิบนั่นหยิบนี่เสียเป็นหนักหนา พอพระมโหสถเห็นกิริยาช่างหม้อตระหนกตกใจดังนั้น จึงโลมเล้าเอาใจว่า ขอท่านอาจารย์อย่ากลัวเลย เพราะท่านอาจารย์มีคุณแก่ข้าพเจ้ามาก ได้เลี้ยงดูข้าพเจ้ามาหลายวันแล้ว ว่าแล้วก็ยกทรัพย์พันตำลึงนั้นให้แก่ช่างหม้อว่า ข้าพเจ้าขอตอบแทนคุณท่านด้วยทรัพย์พันตำลึงนี้ ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปสู่รถด้วยร่างกายอันแปดเปื้อนมอมแมมเข้าไปสู่พระนคร เมื่อไปถึงพระราชวังแล้ว อำมาตย์ผู้นั้นจึงให้พระมโหสถรออยู่ข้างนอกก่อน ส่วนตนได้เข้าไปเฝ้ากราบทูลให้พระมหากษัตริย์ทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้ตัวพระมโหสถมาแล้วพระพุทธเจ้าข้า พระมหากษัตริย์จึงตรัสถามว่า ท่านไปพบมโหสถที่ไหน ขอพระราชทานข้าพระพุทธเจ้าได้ไปพบที่บ้านช่างปั้นหม้อ ตำบลทักขิณวยมัชฌคาม มโหสถกำลังนั่งปั้นหม้ออยู่กับช่างหม้อมีตัวขมุกขะมอม พอได้ยินว่ามีพระราชโองการให้หา ก็รีบมาฉับพลันทันจะได้อาบน้ำชำร่างกายไม่ มีร่างกายแปดเปื้อนด้วยโคลนและดินอยู่ เมื่อพระมหากษัตริย์ได้ทรงสดับดังนี้ ก็ทรงสิ้นสงสัยเข้าพระทัยแน่ว่ามโหสถไม่ได้เป็นกบฏ โดยทรงพระราชดำริว่า ถ้ามโหสถเป็นกบฏแล้ว ก็จะต้องไปส้องสุมพรรคพวกทำตนให้มียศและบริวารขึ้น ครั้นทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่งว่า จงไปบอกให้ลูกของเรากลับบ้านเรือน อาบน้ำชำระกายให้สบาย แล้วจึงเข้ามาเฝ้าเหมือนอย่างเคย อำมาตย์ผู้นั้นขับรถกลับไปส่งถึงบ้าน อาบน้ำชำระกายเสร็จแล้ว จึงเข้าสู่ที่เฝ้าถวายบังคมแล้วก็เฝ้ายืนอยู่ในที่สมควรข้างหนึ่ง พระมหากษัตริย์จึงตรัสถามลองใจพระบรมโพธิสัตว์เจ้าว่า ดูก่อนพ่อมโหสถ อันคนเรามีหลายจำพวก คือบางจำพวกเห็นว่าตัวเป็นสุข อยู่แล้วจึงไม่กระทำความชั่ว บางจำพวกไม่กระทำความชั่วเพราะกลัวเขาติฉินนินทา บางจำพวกไม่ทำความชั่วเพราะไม่มีปัญญา ก็ตัวเจ้านี้มีปัญญามากนัก อาจคิดชิงเอาราชสมบัติในชมพูทวีปได้ทั้งสิ้น แต่เหตุใดจึงเพิกเฉยไม่คิดอ่านทำการประทุษร้ายแก่เราเล่า โปรดติดตามตอนต่อไปพรุ่งนี้
|
|
|
|
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก
คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 8 : Exp 38%
HP: 0%
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2010, 08:34:23 pm » |
|
ต่อจากเมื่อวานนี้ พระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงกราบทูลว่าขอพระราชทาน ธรรมดานักปราชญ์ จะได้ทำความชั่วเพราะจะหาความสุขให้แก่ตนย่อมไม่มี ถึงจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไรก็ตาม นักปราชญ์ก็ไม่ทำความชั่วเลย ทำแต่สิ่งที่เป็นสุจริตเท่านั้น ไม่ลำเอียงด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งเลย เมื่อพระมหากษัตริย์ได้ทรงสดับคำกราบทูลของพระบรมโพธิสัตว์เจ้า อย่างนี้แล้ว จึงตรัสด้วยขัตติยมายาว่า ดูก่อนเจ้าปราชญ์ ธรรมดาคนที่มีปัญญาในโลกนี้ เมื่อตัวตกทุกข์ได้ยากต้องคิดเอาตัวรอด ถึงจะต้องทำความชั่วอันเป็นทุจริตผิดทางธรรมก็ดี คิดว่าเมื่อได้ดีมีความสุขแล้ว เราจึงค่อยทำความดีอันเป็นสุจริตธรรมต่อภายหลัง ขอพระราชทาน การที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่วิสัยของนักปราชญ์ ผู้เป็นนักปราชญ์อย่างข้าพระพุทธเจ้านี้ถึงจักตกทุกข์ได้ยากอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ทำความชั่วเลย เมื่อท่านผู้ใดมีบุญคุณแก่ตนแล้ว มีแต่คิดจะตอบแทนบุญคุณเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะทำร้ายท่านผู้มีพระคุณเลย โดยที่สุดแต่ต้นไม่ที่ได้เข้าไปอาศัยร่มเงาแม้แต่เพียงครั้งเดียว ผู้เป็นนักปราชญ์เหมือนดังข้าพระพุทธเจ้านี้ ย่อมไม่คิดทีจะหักกิ่งก้านรานใจเลย เพราะเหตุว่า การประทุษร้ายต่อผู้มีคุณย่อมเป็นโทษอันใหญ่หลวง ขอพระราชทาน อันธรรมดาผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ถ้าได้รู้อรรถธรรมในสำนักผู้ใดแล้ว ไม่ควรที่จะละเมิดเพิกเฉยต่อผู้นั้นฯ บุคคลผู้เป็นคฤหัสถ์เกียจคร้าน 1 บรรพชิตไม่สำรวม 1 พระมหากษัตริย์ขาดการพิจารณา 1 นักปราชญ์ขี้โกรธ 1 ทั้ง 4 จำพวกนี้ไม่ดีเลย พระพุทธเจ้าข้า ธรรมดาพระมหากษัตริย์ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อน จึงค่อยกระทำต่อภายหลัง ความเจริญทั้งสิ้นย่อมเกิดมีแก่กษัตริย์ ผู้ที่ใช้ความพิจารณาให้ถี่ถ้วน ขอพระองค์จงทรงทราบด้วยประการฉะนี้เถิด เอวํ วุตฺเต ราชา ต่อไปนี้ว่าด้วยเรื่องตอน เทวปัญหาว่า เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้ากราบทูลพระมหากษัตริย์ดังที่แสดงมาแล้วนี้ พระมหากษัตริย์จึงอัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์เจ้าให้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ อันกางกั้นไว้ด้วยเศวตฉัตรดูวิจิตรบรรจง ส่วนพระองค์ได้นั่งบนอาสนะอันต่ำ แล้วจึงทรงยกปัญหา 4 ข้อนั้นขึ้น จึงตรัสถามว่า ดูก่อนพ่อมโหสถ บัดนี้เทพยดาอันสิงอยู่ในกัมพูฉัตรของเรา ได้ถามปัญหา 4 ข้อ ไม่มีผู้ใดจักแก้ไขได้ ขอพ่อจงช่วยแก้ไขให้เราฟัง ครั้นตรัสดังนี้แล้วก็ทรงว่าปัญหาให้ฟัง พระโพธิสัตว์เจ้าก็แก้ไขถวายเป็นข้อๆ ไป คือ ข้อที่ 1 ว่า คนจำพวกหนึ่งว่า ยิ่งชกยิ่งเตะยิ่งต่อยยิ่งตี ยิ่งเป็นที่รักนั้น ได้แก่ทารกน้อยๆ อันนอนอยู่บนตักของมารดา ชื่นชมกับมารดา แล้วเตะทุบตีมารดาด้วยมือและเท้าของตนบ้างถอนผมมารดาด้วยปากของตนเองบ้าง ตบปากมารดาด้วยกำปั้นบ้าง มารดาก็ยิ่งรักมากขึ้นฯ ข้อที่ 2 ว่า บุคคลจำพวกหนึ่ง ยิ่งด่าแช่งชักก็ยิ่งเกิดเมตตากรุณานั้น ได้แก่มารดาอันด่าแช่งชักบุตรของตนซึ่งมีอายุได้ 6-7 ขวบ คือธรรมดามารดา เมื่อใช้สอยว่ากล่าวบุตรน้อยๆ ของตนไม่ได้อย่างไรแล้ว ก็ย่อมด่าว่าแช่งชักด้วยถ้อยคำต่างๆ เมื่อด่าว่าไปแล้วก็เกิดความเมตตากรุณาขึ้นฯ ข้อที่ 3 ว่า บุคคลจำพวกหนึ่งใส่โทษแห่งกันและกันด้วยความไม่จริงแล้วเกิดความรักกันขึ้นนั้น ได้แก่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันใหม่ๆ คือ ธรรมดาสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันใหม่ๆ นั้น เมื่ออยู่ด้วยกันในที่สงัดแล้วย่อมใส่โทษกันด้วยคำไม่จริง ข้างหนึ่งว่า เจ้าหารักเราไม่ ใจของเจ้าอยู่เสียข้างนอก อีกข้างหนึ่งว่า เจ้านั่นแหละไม่รักเรา ใจของเจ้ามัวเมาอยู่กับผู้อื่น เสียดังนี้เป็นต้นฯ ข้อที่ 4 ว่า บุคคลจำพวกหนึ่งยิ่งขนเอาสิ่งของไปก็ยิ่งเป็นที่รักแห่งเจ้าของนั้น ได้แก่สมณพราหมณ์ผู้มีศีล ซึ่งนำเอาปัจจัย 4 ของชาวบ้านไป คือ ธรรมดาชาวบ้านที่ยินดีถวายทานแก่สมณพราหมณ์นั้น เมื่อเห็นสมณพราหมณ์รับเอาปัจจัย 4 ของตนไป ก็ยิ่งดีอกดีใจว่า ท่านยินดีรับไทยทานของตน ดังนี้ฯ เมื่อเวลาพระโพธิสัตว์เจ้าแก้ปัญหาจบลงแต่ละข้อๆ จบเทพยดาที่สิงสถิตอยู่ที่กัมพูฉัตรนั้น ก็แสดงกายให้ปรากฏกึ่งหนึ่งแล้ว ซ้องสาธุการด้วยเสียงอันไพเราะ ปัญหาข้อนี้พระมโหสถกล่าวแก้ถูกต้องเป็นอันดีแล้ว แล้วบูชาพระมโหสถด้วยดอกไม้ทิพย์ อันใส่เต็มในผอบแก้ว ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงบูชาด้วยดอกไม้ต่างๆ ทุกครั้งไป ในข้อสุดท้ายเทพยดานั้นได้ทิ้งผอบทองอันเต็มไปด้วยแก้ว 7 ประการ ลงบูชาพระบรมโพธิสิตว์เจ้าแล้วก็อันตรธานหายไป ส่วนพระมหากษัตริย์ได้ทรงเพิ่มอิสริยยศ ให้แก่พระมโหสถยิ่งขึ้นไปกว่าแต่ก่อน จบตอนว่าด้วยเทวปัญหา คือปัญหาของเทวดาแต่เพียงเท่านี้ โปรดติดตามตอนต่อไป พรุ่งนี
,
|
|
|
|
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก
คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 8 : Exp 38%
HP: 0%
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2010, 07:05:26 pm » |
|
ต่อจากตอนที่แล้ว มโหสถบันฑิตย์ ภาคแรกจะจบในอีก 5-6 ตอน จะอ่านต่อภาค 2 หรือไม่ แสดงความคิดเห็นมาหน่อย ซิ ปุน เต จตฺตาโร ปณฺฑิตา ต่อไปนี้ว่าด้วยตอนนักปราชญ์ทั้ง 4 คิดริษยาพระมโหสถอีก ซึ่งเรียกว่า ปัญจปัณฑิตปัญหา คือเป็นตอนว่าด้วยปัญหาที่นักปราชญ์ทั้ง 4 คิดเป็นอุบายขึ้น เพื่อให้พระเจ้าวิเทหราชทรงซักถาม เพื่อให้พระเจ้าวิเทหราชทรงเข้าพระทัยว่า พระมโหสถเป็นกบฏในตอนนี้ว่า นักปราชญ์ทั้ง 4 นั้นได้เริ่มต้นริษยามโหสถอีกว่า บัดนี้มโหสถเป็นใหญ่ยิ่งกว่าพวกเราแล้ว พวกเราจะทำประการใด เสนกจึงพูดขึ้นว่า ข้อที่มโหสถได้เป็นคนใหญ่คนโตขึ้นแล้วนี้ เราไม่เห็นแปลกอะไรนักหนา เรามีอุบายอยู่อย่างหนึ่งที่จะทำลายมโหสถได้โดยง่าย คือพวกเราจงพร้อมกันไปถามมโหสถ ทำเป็นเหมือนรักใครแล้วไต่ถามว่า ผู้ที่เป็นนักปราชญ์สมควรจะให้ความลับแก่ผู้ใด มโหสถคงตอบว่า ไม่สมควรจะให้ความลับแก่ผู้ใด เมื่อมโหสถกล่าวอย่างนี้แล้วพวกเราจึงพร้อมกันไปเฝ้าพระมหากษัตริย์กราบทูลว่า บัดนี้ มโหสถเป็นกบฏขึ้นแล้ว ถ้าท้าวเธอไม่ทรงเชื่อ เราทั้ง 4 จึงพร้อมกันกราบทูลว่า ขอให้พระองค์ทรงซักถามดูว่า อันความลับบุคคลจะให้แก่ผู้ใด ให้ถามเรียงตัวไป เริ่มแต่เราเป็นต้นจนกระทั่งถึงมโหสถ เมื่อมโหสถทูลว่า เขาไม่ให้ความลับแก่ใคร ท้าวเธอก็จะทรงเข้าใจว่า มโหสถเป็นกบฏจริงตามถ้อยคำของเราทั้ง 4 ครั้นสเนกกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงพานักปราชญ์ทั้ง 4 ไปสนทนาปราศรัยกับพระมโหสถ แล้วไต่ถามมโหสถขึ้นว่า ข้าแต่นักปราชญ์ ธรรมดาคนที่เกิดมาในโลกนี้ ควรจะต้องอยู่ในธรรมข้อไหนจึงจะเป็นการดี มโหสถจึงตอบว่า ดูก่อนท่านทั้ง 4 คนที่เกิดมาในโลกนี้ ควรตั้งอยู่ในสัจจธรรมคือ ความซื่อสัตย์จึงจะเป็นการดี ข้อแต่นักปราชญ์ เมื่อตั้งอยู่ในสัจจธรรมแล้วควรจะทำสิ่งใดต่อไป ควรจะขวนขวายหาทรัพย์สินเงินทองให้มากขึ้น ข้าแต่เจ้าปราชญ์ เมื่อหาทรัพย์ได้มากแล้วควรจะทำสิ่งใดต่อไป ควรจะหาความคิดอันสำคัญต่อไป เมื่อได้ความคิดอันสำคัญแล้ว ควรจะทำสิ่งใดต่อไปเล่า เมื่อได้ความคิดอันสำคัญแล้ว ควรจะปกปิดไว้อย่าให้ผู้ใดผู้หนึ่งรู้ เมื่อมโหสถกล่าวอย่างนี้แล้ว นักปราชญฺทั้ง 4 นั้นก็พากันดีอกดีใจว่า สมกับความคิดของตนแล้ว จึงพากันลากลับไปสู่เคหสถาน รุ่งเช้าขึ้นได้พร้อมกันเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ก่อนพระบรมโพธิสัตว์เจ้า กราบทูลใส่โทษว่ามโหสถคิดการเป็นกบฏแล้วพระเจ้าข้า พระเจ้าวิเทหราชก็ตรัสว่า เราไม่เชื่อ จึงพร้อมกันกราบทูลว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อ ก็ขอได้โปรดถามปัญหาต่อข้าพเจ้าทั้ง 4 กับมโหสถดูว่า ควรไว้ความลับแก่ใคร ถ้ามโหสถไม่เป็นกบฏก็จักกราบทูลว่า ไม่มีความลับจะปกปิด ให้เปิดเผยความลับแก่ผู้นั้นผู้นี้เสมอ แต่ถ้ามโหสถเป็นกบฏจริง เขาก็จักกราบทูลว่าความลับของเขา เขาไม่ได้บอกแก่ใคร เมื่อเสนกกราบทูลอย่างนี้แล้ว สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงเห็นชอบด้วยอุบาย เมื่อมโหสถเข้าเฝ้าพร้อมหน้าแล้ว จึงทรงตั้งปัญหาไต่ถามว่า ดูก่อนนักปราชญ์ทั้ง 4 ความลับที่ควรติเตียนหรือสรรเสริญก็ดี บุคคลควรจะบอกแก่ใคร เสนกจึงย้อนทูลถามขึ้นว่า ขอให้พระองค์ได้ทรงแก้ไขก่อนเถิด แล้วข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะแก้ถวายต่อภายหลัง จึงตรัสว่า นักปราชญ์ทั้ง 5 เราพิจารณาเห็นว่าภรรยาคนใดเป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อสามี เราเห็นว่า บุรุษควรจะบอกความลับแก่ภรรยาคนนั้น ก็เสนกเล่าเห็นว่า ควรจะบอกความลับแก่ผู้ใด ขอพระราชทาน ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า ควรบอกความลับแก่สหายอันรักใคร่กันจริงๆ เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากกันจริงๆ ครั้นเสนกกราบทูลอย่างนี้แล้วจึงตรัสถามปุกกุส กามินท์ เทวินท์อีกต่อไป ปุกกุสกราบทูลว่า ควรจะบอกความลับแก่พี่ชายหรือน้องชายที่มีศีลวัตรอันดี กามินท์กราบทูลว่า ควรจะบอกความลับแก่ลูกชาย ซึ่งอยู่ในโอวาทคำสั่งสอน เทวินท์กราบทูลว่าควรจะบอกความลับแก่มารดา ครั้นแล้วจึงตรัสถามพระมโหสถอีกต่อไปพระมโหสถกราบทูลว่า อันธรรมดาความลับแล้วย่อมไม่สมควรจะบอกแก่ผู้ใด เมื่อพระมโหสถกราบทูลอย่างนี้แล้ว สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงน้อยพระทัยว่า พระมโหสถเป็นกบฏจริง ดังถ้อยคำของนักปราชญ์ทั้ง 4 จึงทอดพระเนตรไปดูเสนกฯ ก็ทอดจักษุดูตอบพระมหากษัตริย์ เป็นเชิงอาณัติสัญญาแก่กันและกัน ติดตามอ่านต่อพรุ่งนี้
,
|
|
|
|
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก
คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 8 : Exp 38%
HP: 0%
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 07:15:59 pm » |
|
ต่อจากเมื่อวานนี้ ฝ่ายพระมโหสถได้เห็นกิริยา ก็เข้าใจทันทีว่านักปราชญ์ทั้ง 4 นี้ ได้ทูลยุยงพระมหากษัตริย์ว่า เราเป็นกบฏเสียแล้ว พระมหากษัตริย์จึงได้ตรัสถามปัญหาเช่นนี้ เพื่อจะทดลองว่า เราจะเป็นกบฏจริงหรือไม่ เวลานี้ก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว เราไม่ควรจะอยู่ให้ชักช้าเพราะเหตุว่า พระราชฐานเป็นของไม่ควรดูเบา ใครเล่าจักรู้ได้ว่า จักมีอะไรเกิดขึ้น เราควรจะรีบกลับออกไปโดยเร็ว ครั้นคิดแล้วก็ลุกขึ้นถวายบังคม ลาออกจากที่เฝ้าโดยทันใด เมื่อออกจากที่เฝ้าแล้วจึงนึกสงสัยว่า การที่นักปราชญ์ทั้ง 4 ได้กราบทูลว่า ตนได้บอกความลับแก่คนนั้นคนนี้ ข้อนี้จักเป็นอย่างไรหนอ ความลับเหล่านั้น เขาจักได้รู้มาหรือได้เห็นมา หรือได้ทำเองเป็นประการใด เราจักต้องให้รู้จักในวันนี้จงได้ ครั้นคิดดังนี้แล้วก็เดินออกไปซ่อนอยู่ในถังที่ใส่ข้าวริมประตูพระราชวัง อันนักปราชญ์ทั้ง 4 เคยไปนั่งสนทนากันทุกวันในเวลาออกจากที่เฝ้า คือมโหสถได้บอกให้บริวารของพระองค์ช่วยกันยกถังใส่ข้าวใบนั้นขึ้น แล้วเข้าไปซ่อนอยู่ข้างใน ให้พวกบริวารพากันหลบไปซ่อนอยู่เสียในที่อื่น โดยสั่งไว้ว่า เมื่อนักปราชญ์ทั้ง 4 มานั่งสนทนากันในที่นี้ ลุกแล้วไป พวกเจ้าจงมาเปิดให้เราออกเถิด ดังนี้ พวกบริวารก็ทำตามคำสั่งของมโหสถทุกประการ เสนโกปิ ราชานํ อาห มหาราช ตุมฺเห อมฺหากํ น สทฺทหถ อิทานิ กึ ทิสนิติ ฯ เภทกานํ วจนํ สุตฺวา อิทานิ กึ กโรม เสนกปณฺฑิตาติ ปุจฺฉิ มหาราช ปปญฺจ อกตฺวา กิญฺจิ อชานาเปตฺวา คหปติปุตฺตํ มาเรตุ วฏฺฏตีติ. ดำเนินความว่า เมื่อพระมโหสถออกจากที่เฝ้าแล้ว เสนกจึงกราบทูลพระเจ้าวิเทหราชขึ้นว่า ขอพระราชทาน เมื่อก่อนพระองค์ไม่เชื่อข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มาบัดนี้ ทรงเห็นจริงแล้วหรือยังประการใด ในครั้งนั้นพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงเชื่อถือว่า มโหสถเป็นกบฏจริง จึงตกพระทัยกลัว ตรัสปรึกษากับเสนกว่า จะทำอย่างไรดี เสนกจึงกราบทูลว่า สมควรจะฆ่ามโหสถเสียโดยเร็ว อย่าทันให้ผู้หนึ่งผู้ใดรู้ สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงเห็นชอบด้วย อย่าทันให้ผู้หนึ่งผู้ใดรู้ สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงพระราชทานพระขรรค์อาญาสิทธิ์ให้ว่า ท่านอาจารย์จงคอยดักฆ่ามโหสถเสียที่ประตูวังในเวลาพรุ่งนี้เช้าให้จงได้ เสนกก็รับเอาพระขรรค์แล้วกราบทูลว่า เรื่องนี้ไว้เป็นธุระของข้าพระพุทธเจ้า กราบทูลแล้วก็พร้อมกันถวายบังคมออกจากที่เฝ้า แล้วเดินพูดกันต่อไปว่า ที่นี้เราจะได้เห็นหลังข้าศึกแล้ว พอออกไปถึงประตูวัง ก็พากันนั่งลงบนถังใสข้าวแล้วสนทนากันไป ฝ่ายเสนกจึงพูดขึ้นว่า พรุ่งนี้ใครจะเป็นผู้ฆ่ามโหสถนักปราชญ์ทั้ง 3 ตอบว่า ขอให้ท่านอาจารย์เป็นผู้ฆ่าเถิด เพราะข้าพเจ้าทั้ง 2 ไม่กล้าหาญแข็งแรงเหมือนท่านอาจารย์ เสนกจึงตอบว่า ถ้าไม่มีใครกล้าเราลงมือเอง แล้วเหลียวมาถามนักปราชญ์ทั้ง 3 ว่า ข้อที่ท่านทั้ง 3 กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า ให้บอกความลับแก่น้องบ้าง แก่บุตรบ้าง แก่มารดาบ้างนั้น มีเรื่องมาอย่างไร นักปราชญ์ทั้ง 3 จึงย้อนถามเสนกว่า ก็ข้อที่ท่านอาจารย์ได้กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า ให้บอกความลับแก่สหายนั้น เป็นอย่างไร เสนกจึงเคาะถังข้าวด้วยมือแล้วกล่าวว่า บางทีมโหสถแอบอยู่ใต้ถังข้าวนี้ก็ไม่รู้ ถ้ามโหสถรู้เรื่องนี้แล้ว เป็นต้องตายทีเดียว เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก นักปราชญ์ทั้ง 3 จึงกล่าวว่า ป่านนี้มิมัวเมาอยู่กับบุตร ภรรยาที่บ้านแล้วหรือ ที่ไหนจะมาแอบอยู่ที่นี่ ขออาจารย์จงเล่าไปเถิด อย่าได้กลัวเลย เสนกจึงเล่าให้ฟังว่า เราได้พาหญิงนครโสเภณีคนหนึ่งมีชื่อว่าอย่างนั้นในเมืองนี้ ไปร่วมอภิรมย์ที่สาลวโนทยาน แล้วก็ฆ่าเอาเครื่องประดับเสีย เวลานี้เครื่องประดับนั้น เราได้เอาไปแขวนไว้ที่ปลายเท้าในห้องเรือนของเรา เราได้บอกเรื่องนี้แก่สหายของเราคนเดียวเท่านั้น โดยเหตุนี้เราจึงกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า บุคคลควรบอกความลับแก่สหายที่รักของตน ก็ท่านทั้ง 3 เล่า มีเรื่องเป็นมาอย่างไร จึงได้กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวอย่างนั้น จงเล่าไปให้ฟังดูที โปรดติดตามตอนต่อไป
|
|
|
|
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก
คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 8 : Exp 38%
HP: 0%
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 07:44:37 pm » |
|
ต่อจากตอนที่แล้ว ปุกกุสจึงเล่าให้ฟังว่า ข้าพเจ้าเป็นโรคเรื้อนที่ขา ทุกๆ เวลาเช้า ข้าพเจ้าให้น้องชายของข้าพเจ้าชำระแผลและทายาให้พันไว้ด้วยผ้าเก่า แล้วข้าพเจ้าก็นุ่งผ้าใหม่ปิดเสีย เรื่องนี้รู้แต่น้องชายของข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น เวลาเข้าไปสู่ที่เฝ้า พระเจ้าอยู่หัวชอบตรัสเรียกให้ข้าพเจ้าเข้าไปนั่งในที่ใกล้ แล้วเอนพระองค์ลงบนขาของข้าพเจ้าเนืองๆ ตรัสชมว่า ขาของข้าพเจ้าอ่อนนุ่มดี เพราะผ้าขี้ริ้วพันแผลนั้นเอไม่ใช่อื่นไกลเลย ถ้าเรื่องนี้ทรงทราบถึงพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องตายเหมือนกันกับอาจารย์ กามินท์จึงเล่าต่อไปว่า ข้าพเจ้าเป็นบ้าผีสิงทุกเดือนดับ คือมีผีตนหนึ่ง ชื่อว่านรเทวยักษ์ เข้าสิงข้าพเจ้าในเวลาเดือนดับแล้วข้าพเจ้าก็ร้องเป็นเสียงสุนัขบ้า เรื่องนี้รู้แต่บุตรของข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น คือ ทุกเวลาที่ผีสิงข้าพเจ้าแล้ว บุตรของข้าพเจ้าก็ให้ข้าพเจ้าเข้าไปอยู่ในห้องนอน แล้วให้ดีดสีตีเป่าครึกครื้นจนกลบเสียงข้าพเจ้าหมด เทวินท์จึงเล่าว่า ข้าพเจ้าได้ขโมยเอาแก้วมณีอันชื่อว่า สิริปเวสมงคลที่พระอินทร์ได้ประทานแก่พระเจ้ากุสราช ซึ่งเป็นพระอัยยกาของพระมหากษัตริย์เอาไปไว้ในบ้าน เวลาจะเข้าเฝ้าข้าพเจ้าได้ซ่อนแก้วมณีนั้นเรียกสิริให้เข้าไปในตัวก่อนแล้วจึงเข้าเฝ้า ด้วยอำนาจแก้วนี้แหละพระมหากษัตริย์จึงชอบตรัสกับข้าพเจ้าก่อนท่านทั้งปวง แล้วพระราชทานทรัพย์ให้แก่ข้าพเจ้าวันละ 3 กหาปณะบ้าง 16 กหาปณะบ้าง 32 กหาปณะบ้าง ทุกวันไป เรื่องนี้รู้แต่มารดาของข้าพเจ้าเท่านั้น โดยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกราบทูลว่า บุคคลควรบอกความลับแก่มารดา เมื่อนักปราชญ์ทั้ง 4 บอกความลับแก่กัน ดังนี้แล้ว จึงกำชับกันให้มาแต่เช้ามืด เพื่อดักฆ่ามโหสถที่ประตูพระราชวังแล้วก็พากันลุกไป ฝ่ายบริวารทั้งหลาย พอนักปราชญ์ทั้ง 4 ลับตาไปแล้วจึงพากันไปเปิดถังข้าวให้พระโพธิสัตว์เจ้าฯ เมื่อออกจากถังข้าแล้วก็กลับสู่เคหสถาน อาบน้ำชำระกายด้วยน้ำหอม แล้วก็แต่งตัวออกบริโภคอาหาร ครั้นเสร็จการบริโภคแล้วก็คิดว่า คืนวันนี้สมเด็จพระนางอุทุมพรราชเทวี คงจะส่งข่าวอันใดอันหนึ่งมาให้เราทราบเป็นแน่นอน จึงสั่งพวกคนใช้ว่าถ้ามีผู้ใดออกมาจากพระราชวัง จงนำผู้นั้นเข้าไปหาโดยเร็ว ครั้นสั่งแล้วก็เข้าที่บรรทม ตสฺมึ ขเณ ราชา ในขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชได้เสด็จเข้าที่บรรทมแล้วทรงระลึกถึงความดีของพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งได้มีแก่พระองค์มาแล้วเป็นอันมาก ก็ทรงสลดพระหฤทัยว่า มโหสถนี้ได้ติดตามเป็นข้าเฝ้าของเรามา เริ่มแต่เมื่ออายุได้ 7 ขวบ จนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่มีความผิดสิ่งใดเลย เวลาเทวดาถามปัญหาต่อเรานั้น ถ้าเราไม่ได้มโหสถนั้นช่วยแก้ไขก็ไม่รอดชีวิตอยู่ได้จนบัดนี้ เรารู้อยู่แต่เดิมทีแล้วว่า นักปราชญ์ทั้ง 4 เป็นข้าศึกกันกับมโหสถ ควรแล้วหรือเรามาด่วนเชื่อถ้อยคำของนักปราชญ์ทั้ง 4 ถึงกับส่งพระขรรค์ให้ไปฆ่าเสียเช่นนี้ เรานี้ทำสิ่งมิบังควรนักหนา อนิจจามโหสถเอ๋ย จำเดิมแต่นี้ไปที่จะได้เห็นหน้ามโหสถอีกนั้นหามิได้แล้ว พรุ่งนี้เช้านักปราชญ์ทั้ง 4 ก็จะฆ่ามโหสถเสียที่ประตูวัง เมื่อท้าวเธอทรงสลดพระหฤทัยดังนี้แล้ว ก็ทรงกระสับกระส่ายจนถึงกับพระเสโทไหลโซมพระองค์ โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป
|
|
|
|
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก
คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 8 : Exp 38%
HP: 0%
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2010, 08:57:31 pm » |
|
ต่อจากเมื่อวานนี้ ขณะนั้น สมเด็จพระนางอุทุมพรราชเทวี ได้เสด็จบรรทมร่วมพระที่กับองค์พระมหากษัตริย์ เมื่อทรงเห็นพระอาการแปลกประหลาดดังนั้น ก็ทรงแปลกพระทัย จึงกราบทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์เป็นอย่างไรจึงได้มีพระอาการเช่นนี้ หรือกระหม่อมฉันมีโทษผิดสิ่งใด จึงตรัสตอบว่า แม่อุทุมพรเอ๋ย เจ้าจะมีความผิดสิ่งใดก็หามิได้ พี่ไม่สบายใจด้วยเหตุที่พี่ได้หลงเชื่อคำยุยงของนักปราชญ์ทั้ง 4 ว่า มโหสถเป็นกบฏ แล้วพี่ได้ส่งพระขรรค์ให้นักปราชญ์ทั้ง 4 ไปคอยดักฆ่ามโหสถอยู่ที่ประตูพระราชวังในเวลาพรุ่งนี้เช้า ครั้นพี่มาระลึกถึงความดีของมโหสถก็เกิดสลดใจ จึงไม่สบายใจเช่นนี้ พระนางอุทุมพรเป็นผู้ฉลาดในอุบายจึงกราบทูลขึ้นว่า ขอพระองค์อย่าทรงเป็นทุกข์ไปเลย เพราะพระองค์ได้ทรงชุบเลี้ยงมโหสถมาตลอดกาลนานแล้ว ควรละหรือ ที่มโหสถจะคิดกบฏต่อพระองค์ การที่พระองค์มีรังสั่งให้ฆ่าเสียนั้น เป็นการสมควรอยู่แล้วพระพุทธเจ้าข้า เมื่อสมเด็จพระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำเล้าโลมของพระนางอุทุมพรราชเทวีดังนี้แล้ว ก็ทรงคลายจากความเศร้าโศกเสียพระหฤทัยจนบรรทมหลับไป ฝ่ายพระนางอุทุมพรราชเทวี ก็รีบเสด็จไปทรงพระอักษรเป็นเรื่องราวว่า ดูก่อนมโหสถ บัดนี้พวกนักปราชญ์ทั้ง 4 ได้กราบทูลยุยงพระมหากษัตริย์ว่า เจ้าปรารถนาจะริบเอาราชสมบัติ พระองค์ไม่ทันทรงพิจารณา จึงรับสั่งให้นักปราชญ์ทั้ง 4 คน คอยฆ่าท่านเสียที่ประตูพระราชวังในเวลาพรุ่งนี้เช้า เพราะฉะนั้น ถ้าหากจะเข้ามาเฝ้าในเวลาพรุ่งนี้แล้วจงระวังตัวให้ดี จงทำชาวพระนครทั้งสิ้นให้อยู่ในเงื้อมมือของเจ้าเสียก่อนจึงเข้ามา ครั้นทรงพระอักษรเสร็จแล้ว จึงสอดเข้าไปในห่อข้าวต้มใส่ลงในภาชนะ ห่อตีตราประจำติดครั่งให้ดี ทรงส่งให้ทาสีนำออกไปให้มโหสถในเพลาราตรี พอพาสีไปถึงประตูบ้านมโหสถ บุรุษที่มโหสถให้คอยดูอยู่นั้น ก็รีบพาทาสีเข้าไปหามโหสถทันที มโหสถรับเอาห่อข้าวต้มแล้วก็ให้ทาสีกลับไป แล้วแก้ห่อข้าต้มออกดูก็รู้ความลับในสุภอักษร พระองค์จึงทรงจัดการสิ่งที่ควรกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปบรรทมต่อไป พอถึงเวลาเช้ามืด นักปราชญ์ทั้ง 4 ก็พากันไปดักอยู่ที่ประตูพระราชวังจนกระทั่งเกินเวลาเข้าเฝ้า เมื่อไม่เห็นมโหสถมา จึงพากันเข้าเฝ้า พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามว่า ท่านทั้ง 4 ได้ฆ่ามโหสถแล้วหรือ จึงกราบทูลถึงเหตุการณ์ที่มีมาให้ทรงทราบ ฝ่ายมโหสถเมื่ออาบน้ำชำระกายบริโภคอาหารเรียบร้อยดีแล้ว จึงกระทำชาวพระนครทั้งสิ้นให้อยู่ในเงื้อมมือ ให้ชาวพระนครกับมหชาตโยธาอีกพันหนึ่ง ขึ้นรถตามไปสู่พระราชวัง เวลานั้นสมเด็จพระเจ้าวิเทหราชได้ทอดพระเนตรอยู่ที่ช่องพระแกล พอมโหสถแลเห็นก็ลงจากรถถวายบังคมแล้วยืนนิ่งอยู่ ติตามอ่านตอนจบภาคหนึ่ง พรุ่งนี้
|
|
|
|
8ocdj
ปลดออกจากสมาชิก
คำขอบคุณ: 344
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 108
สมาชิก ID: 1436
Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com
Level 8 : Exp 38%
HP: 0%
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2010, 06:26:45 pm » |
|
พระเจ้าวิเทหราชจึงทรงดำริว่า มโหสถนี้ไม่เป็นกบฏแน่ เพราะถ้าเป็นกบฏแล้วที่ไหนเลยจะถวายบังคมเรา ครั้นทรงดำริแล้วจึงตรัสเรียกให้มโหสถขึ้นเฝ้า มโหสถเลยจะถวายบังคมเรา ครั้นทรงดำริแล้วจึงตรัสเรียกให้มโหสถขึ้นเฝ้า มโหสถก็ขึ้นเฝ้าตามพระราชประสงค์ องค์พระมหากษัตริย์จึงตรัสถามว่า เหตุไรมโหสถจึงมาหาเราผิดเวลาเช่นนี้ ทั้งเมื่อวานนี้ก็กลับออกไปแต่วัน และได้เข้ามาด้วยบริวารยศเป็นอันมาก มีเหตุผลเป็นประการใด มโหสถจึงกราบทูลว่า ขอพระราชทาน เพราะเมื่อวานนี้พระองค์ได้ทรงส่งพระขรรค์ให้นักปราชญ์ทั้ง 4 ไปคอยดักฆ่าข้าพระพุทธเจ้า ที่ประตูพระราชวังเวลาเสด็จเข้าบรรทมก็ทรงเล่าให้พระราชเทวีฟัง โดยเหตุนี้ข้าพระพุทธเจ้าจึงมาผิดเวลา พร้อมกับบริวารเป็นอันมากเช่นนี้ เมื่อสมเด็จพระนราธิบดีได้ทรงสดับดังนี้ ก็ทรงขัดเคืองพระหฤทัย ผินพระพักตร์ไปทอดพระเนตรพระนางอุทุมพรราชเทวี มโหสถก็รู้ทีว่าพระมหากษัตริย์ทรงพระพิโรธแก่พระราชเทวี จึงกราบทูลว่า ขอพระราชทาน พระองค์อย่าทรงพระพิโรธแก่พระราชเทวีเลย เพราะข้าพระพุทธเจ้านี้เป็นผู้รู้จักเหตุผลใน อดีต อนาคต ปัจจุบัน ขอให้พระองค์ทรงนึกดูเถิดว่า ปัญหาที่เทวดาไต่ถามนั้นใครบอกข้าพระพุทธเจ้าๆ จึงได้รู้ ส่วนความลับของนักปราชญ์ทั้ง 4 นี้มีอยู่อย่างไร ข้าพระพุทธเจ้าก็รู้หมด ขอพระราชทาน นักปราชญ์ทั้ง 4 นี้ล้วนแต่เป็นคนไม่ดีทั้งนั้น คือ เสนกฆ่าหญิงแพศยาในสาลวโนทยานแล้วเอาเครื่องประดับของหญิงแพศยาห่อผ้า ไปแขวนไว้ในที่ไม้นาคทันต์ในห้องนอนของตน ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อถ้อยคำของข้าพระพุทธเจ้า ก็ขอได้โปรดตรัสถามดูเถิด สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชก็ตรัสถามเสนกว่า ข้อนี้จริงหรือไม่ เสนกกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า พระมหากษัตริย์ตรัสสั่งให้ราชบุรุษจับตัวเสนกไปจองจำไว้ทันที มโหสถจึงกราบทูลเรื่องไม่ดีของนักปราชญ์ทั้ง 3 ต่อไปว่า พระพุทธเจ้าข้า ปุกกุสนี้เป็นโรคเรื้อนที่ลำขา กามินท์ก็เป็นบ้าผีสิง เทวินท์ก็เป็นโจรลักแก้วมณีอันมีชื่อว่า สิริปเวสนมงคลของพระองค์ไป พวกนี้ล้วนแต่มีความผิด ไม่สมควรที่จะมาเป็นครูท้าวพระยามหากษัตริย์ได้ สมเด็จพระเจ้าวิเทหราชก็ซักถาม เมื่อได้ความจริงแล้ว ก็ตรัสสั่งให้นำนักปราชญ์ทั้ง 3 ไปขังไว้ในเรือนจำเหมือนกันกับเสนก แล้วมโหสถจึงยกข้อธรรมขึ้นแสดง เพื่อแก้ความเข้าใจผิดของพระมหากษัตริย์ในวันก่อนว่า ขอพระราชทาน ธรรมดาความลับแล้วนักปราชญ์ย่อมปกปิด นักปราชญ์ย่อมติเตียนความเปิดเผยความลับ และสรรเสริญการปกปิดความลับ เมื่อนักปราชญ์คิดสิ่งใดได้แล้ว ก็เก็บสิ่งนั้นไว้ จนกว่าจะทำสิ่งนั้นสำเร็จดังความคิดแล้วจึงเปิดเผยภายหลัง ถ้าเปิดเผยความลับเสียก่อนแล้ว อาจทำการไม่สำเร็จดังที่คิดไว้ อีกประการหนึ่งเมื่อนักปราชญ์เห็นว่า ผู้ใดรู้ความลับของตนแล้ว ก็กลัวผู้นั้นยิ่งกว่าบุคคลอื่นๆทั้งหมด ถึงผู้นั้นด่าว่า เฆี่ยนตี ก็ยอมตัวเหมือนกับเป็นทาส ธรรมดานักปราชญ์แล้ว ย่อมรักษาความลับไม่ให้แพร่งพราย ถ้านักปราชญ์จะปรึกษาความลับกับเพื่อนนักปราชญ์ด้วยกัน ก็ต้องปรึกษากันในที่แจ้ง เมื่อสมเด็จพระเจ้าวิเทหราชได้ทรงสดับดังนี้ ก็ทรงโปรดปรานมโหสถมาก จึงโปรดสั่งให้ประหารชีวิตนักปราชญ์ทั้ง 4 นั้นเสีย พวกราชบุรุษก็นำนักปราชญ์ทั้ง 4 นั้น ออกมาโบยหลังคนละ 100 ที แล้วนำไปใส่ตะแลงแกง แต่มโหสถได้ทูลขอพระราชทานชีวิตให้ทันที พระมหากษัตริย์จึงตรัสสั่งว่าถ้าอย่างนั้น มโหสถจงเอาอ้ายคนพาลทั้ง 4 คน ไปไว้เป็นข้าช่วงใช้ในบ้านเสีย มโหสถได้กราบทูลขอให้ตั้งพวกทั้ง 4 คนนี้ไว้เป็นนักปราชญ์เหมือนแต่ก่อนอีก พระมหากษัตริย์ก็ทรงอนุมัติตาม เรื่องนี้ทำให้พระมหากษัตริย์เข้าพระทัยแน่ว่า มโหสถไม่เป็นกบฏแท้ทีเดียว เพราะเหตุว่า มโหสถเป็นคนมากไปด้วยเมตตากรุณา อย่าว่าแต่คนอื่นๆ หรือตัวเราผู้มีพระคุณเลย จนชั้นแต่นักปราชญ์ทั้ง 4 ซึ่งเป็นข้าศึกของมโหสถๆ ก็ยังมีเมตตากรุณา เมื่อสมเด็จพระเจ้าวิเทหราชทรงดำริอย่างนี้แล้ว ก็ยิ่งโปรดปราน มโหสถขึ้นอีกมาก ฝ่ายนักปราชญ์ทั้ง 4 นั้น ก็หมดพยศอันร้ายเหมือนกับอสรพิษอันบุคคลถอนเขี้ยวเสียหมดแล้ว ไม่อาจจะเพ็ดทูลว่ากล่าวใส่ร้าย มโหสถแม้แต่อย่างใดอย่างหนึ่งเลย ตั้งแต่วันนั้นไปจนกระทั่งถึงวันตาย จบเรื่องมโหสถตอนที่นักปราชญ์ทั้ง 4 กล่าวโทษว่า เป็นกบฏแต่เพียงเท่านี้ ขอสมมุติยุติเรื่องมโหสถบันฑิตย์ภาคแรก ไว้เท่านี้ สำหรับภาคสองเป็นเรื่องราวการช่วยสงครามระหว่างมิถิลากับกับพระเจ้าจุลนีพรหมทัตผู้ครองอุตตรปัญจานคร
|
|
|
|
|